วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

10 อันดับวิธีเจ๋งๆในการฝึกภาษาอังกฤษ ให้เก่งได้ด้วยตัวเอง !!

การฝึกภาษาอังกฤษ อาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับหลายคน แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในโลกยุคปัจจุบันและอนาคต ภาษาอังกฤษจะมีบทบาทสำคัญและสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นการรู้ภาษาย่อมทำให้ได้เปรียบนั่นเอง สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องการฝึกภาษาอังกฤษ วันนี้เราก็มีข้อมูลมาแนะนำให้ลองทำด้วย 10 วิธีการฝึกภาษาอังกฤษด้วยตนเอง ซึ่งคิดว่าไม่น่าจะยากเกินไปเลยครับ หวังว่าข้อมูลเหล่านี้คงจะมีประโยชน์ ให้หลายๆคนที่กำลังสับสนในภาษาอังกฤษ ได้ฝึกฝนพัฒนากันให้มากยิ่งขึ้น คราวนี้คงต้องลาไปก่อน แล้วคราวหน้าจะหาเทคนิคดีๆมาฝากกันอีกนะครับ

ที่มา : แหล่งที่มา: settlementatwork,เครดิต www.wegointer.com

10. เราชอบอะไร ทำสิ่งนั้นเป็นภาษาอังกฤษ

ความชอบ ความรัก มันทำให้เราสามารถทำอะไรก็ได้อย่างมีความสุขและไม่น่าเบื่อ ถ้าชอบทำอาหาร ก็เปลี่ยนเมนูอาหารเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าชอบเล่นกีฬาหรือดนตรี ก็ดาวน์โหลดวิดีโอการฝึกซ้อมแบบภาษาอังกฤษมาดู ถ้าชอบเล่นเกมก็ฝึกอ่านคู่มือเกมภาษาอังกฤษ เราก็จะหลงรักมันโดยไม่รู้ตัวเลยล่ะ

9. ลงทุนซื้อ Dictionary ดีๆสักเล่ม

นี่คือการลงทุนที่คุ้มค่า แม้จะมีราคาค่อนข้างแพงไปบ้าง แต่ก็ช่วยให้เราสามารถเข้าใจและพัฒนาภาษาไปได้ดีกว่า (สำหรับคนทุนน้อยจริงๆ ข้อนี้อาจจะข้ามไปได้บ้าง)

8. ทำลิสต์ต่างๆให้เป็นภาษาอังกฤษ

ขั้นตอนนี้อาจจะลำบากในตอนแรก แต่ถ้าเราลองลิสต์ต่างๆให้เป็นอังกฤษจะช่วยเราให้คุ้นเคยได้มากขึ้น อย่างเช่น ลิสต์กิจกรรมที่ต้องทำพรุ่งนี้ ลิสต์ตารางไปเที่ยวพักผ่อน หรือลิสต์ของที่ต้องซื้อเข้าบ้าน ให้เป็นภาษาอังกฤษซะ

7. ใช้คำต่างๆเป็นภาษาอังกฤษมากขึ้น

วิธีนี้หลายคนอาจจะมองดูว่ากระแดะหรือเปล่า? จริงๆแล้วเป็นเพียงการใช้คำให้ถูกกับภาษาอังกฤษมากขึ้น โดยพยายามพูดอังกฤษบ่อยๆในศัพท์ที่ใช้ได้ เช่นเปลี่ยนคำว่ามือถือ เป็น Smart Phone เปลี่ยนคำว่า นาฬิกาปลุก เป็น Alarm เป็นต้น

6. เล่นเกมที่ใช้คำภาษาอังกฤษบ่อยๆ

สมัยนี้มีเทคโนโลยีอย่างสมาร์ทโฟน เราจึงสามารถหาแอพพลิเคชั่นเกมภาษาอังกฤษ เช่น Crosswords มาเล่นแก้เบื่อในยามว่างได้ ทีนี้ก็ลองเปลี่ยนจากแชทไลน์มาเป็นเล่นเกมแนวนี้แทน จะช่วยพัฒนาได้อีกทาง

5. ดูทีวีและภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ

การดูภาพ ฟังเสียง และอ่านซับไตเติ้ลภาษาไทยไปพร้อมๆกัน ช่วยฝึกประสาทการรับรู้ในหลายๆช่องทาง ซึ่งต่อไปก็สามารถเปลี่ยนจากซับไทย เป็นซับอังกฤษ ไปจนถึงขั้นปิดซับได้ในท้ายที่สุด

4. แปะกระดาษโน้ตบนสิ่งของต่างๆ

วิธีนี้จะเหมือนการเอาข้าศึกมาล้อมเมือง การแปะชื่อสิ่งของต่างๆที่เราใช้เป็นภาษาอังกฤษ ช่วยทำให้ชีวิตได้คุ้นเคยกับคำเหล่านี้มากขึ้น และเป็นการฝึกอ่านฝึกความเข้าใจไปในตัวด้วย

3. ไม่จำเป็นต้องแปลเป็นภาษาไทย

การฝึกภาษาอังกฤษให้เข้าใจนั้น ไม่จำเป็นที่เราต้องอ่านหรือฟังแล้วแปลเป็นภาษาไทย อาจจะสงสัยว่าไม่แปลเป็นไทยแล้วจะเข้ะาใจยังไง การไม่พยายามแปลเป็นไทยจะช่วยให้เราสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วขึ้นด้วย

2. ฟังวิทยุให้ชิน

การฟังวิทยุนั้นจะช่วยให้เราได้ฟังทั้งเสียงคนพูด รวมถึงเสียงร้องเพลง เป็นการฝึกหูในชินกับภาษาในหลายๆรูปแบบอีกวิธีหนึ่งด้วย

1. ตามอ่านอะไรที่เราสนใจ

ตอนเด็กๆหลายคนอาจจะไม่ชอบภาษาอังกฤษ เพราะโดนครูบังคับให้อ่านเรื่องอะไรก็ไม่รู้ แต่ลองเริ่มอ่านเรื่องที่เราสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูน กีฬา ดนตรี ข่าวซุบซิบดาราฝรั่ง หรือมุมขำๆในหนังสือพิมพ์ จำไว้เลยว่าไม่มีอะไรไร้สาระ เพราะเรากำลังเรียนรู้อยู่

พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส

พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส (ฝรั่งเศสLouis XVI de France; หลุยส์แซซเดอฟร็องส์) (5 กันยายน ค.ศ. 1754 – 21 มกราคม ค.ศ. 1793) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งฝรั่งเศสและนาวาร์ ในช่วงต้นของสมัยใหม่ จนกระทั่ง ค.ศ. 1791 ทรงสูญเสียราชบัลลังก์แห่งนาวาร์และครองราชย์ในฐานะพระมหากษัตริย์แห่งฝรั่งเศส ในที่สุดในปี ค.ศ. 1792 ทรงถูกโค้นราชบัลลังก์และสำเร็จโทษในช่วงของการปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งพระบิดาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 คือหลุยส์ โดแฟ็งแห่งฝรั่งเศส ผู้เป็นพระโอรสเพียงพระองค์เดียวและทายาทผู้มีสิทธิโดยตรงในพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ทรงสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1765 ส่งผลให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ต่อจากพระอัยกาเจ้า (พระเจ้าหลุยส์ที่ 15) ในปี ค.ศ. 1774
ช่วงต้นรัชกาลได้รับการบันทึกไว้ว่าทรงพยายามที่จะปฏิรูปฝรั่งเศสอันเป็นผลมาของแนวคิดจากยุคเรืองปัญญา ซึ่งรวมถึงความพยายามในการล้มเลิกระบบมาเนอร์, ระบบตายย์ (ฝรั่งเศสTaille; การจัดเก็บภาษีที่ดินคำนวณจากขนาดที่ดินที่ถือครอง), และสนับสนุนขันติธรรมไปในแนวทางที่ออกห่างจากคริสตจักรโรมันคาทอลิก ขุนนางฝรั่งเศสตอบสนองต่อการปฏิรูปนี้ในแนวทางที่เป็นปรปักษ์และประสบความสำเร็จในการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทำให้ความไม่พอใจในหมู่สามัญชนเพิ่มมากขึ้น พระเจ้าหลุยส์ยังทรงเข้าไปพัวพันกับสงครามประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกาด้วยการประกาศให้ฝรั่งเศสเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ฝรั่งเศสมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างมากจนนำไปสู่การมีหนีสินล้นพ้น
วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและการคลังที่ตามมามีส่วนทำให้ความนิยมใน การปกครองระบบโบราณ เสื่อมลง ความไม่พอใจในหมู่ประชาชนชั้นกลางและล่างของฝรั่งเศสส่งผลให้การต่อต้านอภิสิทธิ์ชนและระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เพิ่มมากขึ้น ที่ซึ่งพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระราชินีมารี อ็องตัวแน็ต ทรงถูกมองว่าเป็นตัวแทนของระบอบการปกครองนี้ ในปี ค.ศ. 1789 คุกบาสตีย์ถูกทลายลงระหว่างการก่อจลาจลในปารีส และการปฏิวัติฝรั่งเศสก็ได้เริ่มต้นขึ้น ก่อให้เกิดสถาบันทางนิติบัญญัติแห่งชาติ การปฏิวัติยังสถาปนาระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นเพียงระบอบในนามในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16
แม้ว่าจะมีการสนับสนุนรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส ค.ศ. 1791 ความใฝ่พระราชหฤทัยที่จะทำให้การปฏิวัติเลือนหายไปด้วยการแทรกแซงทางการทหารจากชาติมหาอำนาจในยุโรปก็ประสบความล้มเหลว ตามมาด้วยเหตุการณ์ความพยายามเสด็จหนีออกจากฝรั่งเศสซึ่งทำให้เกิดความไม่พอใจองค์กษัตริย์เป็นวงกว้างทั่วฝรั่งเศส ต่อมาพระราชอำนาจของพระเจ้าหลุยส์ถูกโค้นลงอย่างเป็นทางการจากเหตุการณ์สิบสิงหาคมที่มีการบุกทำลายพระราชวังตุยเลอรีส์ พระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ถูกจองจำในป้อมปราการแห่งหนึ่ง จนเมื่อมีการสถาปนาสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 1 ขึ้น พระองค์ถูกกล่าวหาว่าทรยศต่อประเทศชาติโดยสมัชชาแห่งชาติฝรั่งเศส ต่อมาพบว่ามีความผิดจริงและทรงถูกตัดสินให้สำเร็จโทษด้วยการปลงพระชนม์ ทรงถูกเรียกขานในแบบ ซีโตเยน (สามัญชน) ว่า หลุยส์ กาเปต์ ซึ่งนามสกุลนี้มีที่มาจากการที่พระองค์ทรงสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์กาเปเซียง ทรงถูกบั่นพระเศียรด้วยเครื่องกิโยตีนในวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 1793

ทรงพระเยาว์

หลุยส์โอกุสต์เดอฟร็องส์ ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งดยุกแห่งแบร์รีตั้งแต่แรกประสูติ มีประสูติกาล ณ พระราชวังแวร์ซาย ทรงเป็นโอรสองค์ที่สามจากทั้งหมดเจ็ดพระองค์ของหลุยส์ โดแฟ็งแห่งฝรั่งเศส เป็นพระราชนัดดาในพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศสกับพระราชินีมารี เลสซ์ไซน์สกา พระราชมารดามีพระนามว่า เจ้าหญิงมาเรีย โจเซฟาแห่งแซกโซนี ซึ่งเป็นพระนัดดาในพระเจ้าออกัสตัสที่ 3 แห่งโปแลนด์ เจ้านครรัฐผู้คัดเลือกแห่งแซกโซนีและพระมหากษัตริย์โปแลนด์
เจ้าชายหลุยส์โอกุสต์ทรงเผชิญกับความยากลำบากในวัยเยาว์ เนื่องจากว่ากันว่าพระบิดาและพระมารดาของพระองค์ทรงทอดทิ้งและให้ความสำคัญกับพระเชษฐา เจ้าชายหลุยส์ ดยุกแห่งบูร์กอญ ซึ่งมีพระจริยวัตรและพระปรีชาสามารถมากกว่า แต่ต่อมาก็สิ้นพระชนม์ลงในปี ค.ศ. 1761 ด้วยพระชนมายุ 9 พรรษา เจ้าชายหลุยส์โอกุสต์มีพระพลานามัยแข็งแรงแต่ทรงขี้อายมาก มีพระปรีชาในด้านการเรียนและทรงแตกฉานในภาษาละติน, ประวัติศาสตร์, ภูมิศาสตร์ และดาราศาสตร์ นอกจากนี้ยังทรงใช้ภาษาอิตาลีและภาษาอังกฤษได้อย่างเชี่ยวชาญ โปรดกิจกรรมที่ใช้พละกำลังเช่นการล่าสัตว์กับพระอัยกา หรือการหยอกเล่นกับพระอนุชา เจ้าชายหลุยส์สตานิสลาส์ เคาท์แห่งโพรว็องส์ และเจ้าชายชาร์ลส์-ฟีลีปป์ เคาท์แห่งอาร์ตัวส์ นอกจากนี้ยังทรงได้รับแรงสนับสนุนในงานอดิเรกส่วนพระองค์อื่นๆ เช่น การประกอบนาฬิกา ซึ่งถูกมองว่าเป็นประโยชน์กับผู้เยาว์
จากการสิ้นพระชนม์ของพระบิดาด้วยวัณโรคในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1765 เจ้าชายหลุยส์โอกุสต์ผู้มีพระชนมายุได้เพียง 11 พรรษา ก็ได้เฉลิมพระยศใหม่ขึ้นเป็นโดแฟ็งพระมารดาของพระองค์ผู้ทรงไม่เคยฟื้นจากความอาดูรในการสูญเสียพระสวามีก็ได้สิ้นพระชนม์ลงในวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 1767 ด้วยวัณโรคเช่นเดียวกัน การศึกษาอย่างเข็มงวดในแบบอนุรักษนิยมจากดยุกแห่งโวกียงซึ่งมีฐานะเป็น ข้าหลวงแห่งราชโอรสราชธิดาฝรั่งเศส (ฝรั่งเศสGouverneur des Enfants de France; กูแวร์เนอเดส์อ็องฟ็องต์สเดอฟร็องส์) ตั้งแต่ ค.ศ. 1760 จนกระทั่งทรงอภิเษกสมรสในปี ค.ศ. 1770 ไม่ได้ช่วยเตรียมพระองค์ในการขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ต่อจากพระอัยกาในปี ค.ศ. 1774 เลย การศึกษาที่ทรงได้รับเป็นการผสมปนเปกันของวิชาต่างๆ โดยเฉพาะศาสนา, จริยธรรม และมนุษยศาสตร์  ทั้งนี้พระอาจารย์อาจจะมีส่วนในการปลุกปั้นพระองค์ให้ทรงกลายมาเป็นกษัตริย์ผู้ไร้ซึ่งความหนักแน่นเฉียบขาดอีกด้วย เช่นที่ อับเบ แบร์ตีแยร์ พระอาจารย์ของพระองค์ชี้แนะว่าความขลาดกลัวคือคุณค่าในตัวกษัตริย์ผู้แข็งแกร่ง หรือที่อับเบ โซลดีนี ผู้รับฟังคำสารภาพบาป ได้ชี้แนะไว้ว่าอย่าทรงปล่อยให้ผู้คนอ่านพระราชหฤทัยของพระองค์ได้

ชีวิตส่วนพระองค์

มารี อ็องตัวแน็ต สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศสกับพระราชโอรส-ธิดาองค์โต 3 พระองค์แรก, เจ้าหญิงมารี-เตเรส, เจ้าชายหลุยส์-ชาร์ลส์ และเจ้าชายหลุยส์-โจเซฟ แต่เดิมแล้วในพระอู่ควรจะมีเจ้าหญิงโซฟี เฮเลน เบียทริกซ์แห่งฝรั่งเศส แต่ภาพนี้ถูกวาดขึ้นหลังจากการสิ้นพระชนม์ขององค์หญิง โดยเอลีซาแบ็ต-หลุยส์ วีเฌ-เลอเบริง
พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ขณะมีพระขนมายุ 20 พรรษา
เจ้าหญิงโซฟี เฮเลน เบียทริกซ์แห่งฝรั่งเศส
ในวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1770 ขณะมีพระชนมายุ 15 พรรษา เจ้าชายหลุยส์โอกุสต์ทรงอภิเษกกับอาร์คดัชเชสพระชนมายุ 14 พรรษาจากราชวงศ์ฮับส์บูร์กพระนามว่า มาเรีย แอนโทเนีย (รู้จักกันดีในชื่อฝรั่งเศสของพระองค์ว่า มารี อ็องตัวแน็ต) พระญาติชั้นที่สองและพระราชธิดาองค์เล็กสุดในจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 1 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์กับจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซา พระชายาผู้น่าเกรงขาม
การอภิเษกสมรสในครั้งนี้ต้องเผชิญกับการต่อต้านบางส่วนจากสาธารณชนชาวฝรั่งเศส จากที่การเป็นพันธมิตรกับออสเตรียได้นำพาฝรั่งเศสเข้าสู่ความหายนะในสงครามเจ็ดปี ทำให้ฝรั่งเศสพ่ายแพ้แก่สหราชอาณาจักรทั้งในแผ่นดินยุโรปและอเมริกาเหนือ โดยในช่วงของการอภิเษกสมรสครั้งนี้ ประชาชนชาวฝรั่งเศสมองสัมพันธไมตรีกับออสเตรียด้วยความชิงชัง และพระนางมารี อ็องตัวแน็ตก็ทรงถูกมองว่าเป็นสตรีชาวต่างชาติผู้ไม่เป็นที่พึงประสงค์  สำหรับคู่รักราชนิกุลผู้เยาว์ทั้งสองแล้ว การอภิเษกครั้งนี้เริ่มแรกดูชื่นมื่นแต่ห่างเหิน - ความเขินอายของเจ้าชายหลุยส์โอกุสต์หมายความว่าพระองค์จะทรงล้มเหลวในการรวมกันของสองราชวงศ์ครั้งนี้ สร้างความทุกข์ใจให้แก่พระชายาอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นคือความกังวลว่าจะทรงถูกบงการโดยพระชายาเพื่อประสงค์บางอย่างของพระบรมวงศ์ฮับส์บูร์ก ก็ยิ่งกดดันให้ทรงวางพระองค์เย็นชาต่อพระชายาในที่สาธารณะมากขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตามเมื่อกาลเวลาล่วงเลยผ่านไป ทั้งสองพระองค์ก็ทรงใกล้ชิดสนิทสนมมากขึ้น จนมีรายงานว่าในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1773 สายสัมพันธ์ได้แนบแน่นจนผสานทั้งสองพระองค์เข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์ แต่ก็ยังไม่ปรากฏอย่างชัดจริงจนกระทั่งปี ค.ศ. 1777
อย่างไรก็ดี ทั้งสองพระองค์ทรงล้มเหลวที่จะมีรัชทายาทร่วมกันเป็นเวลาหลายปีนับจากนี้ สร้างความกดดันเพิ่มขึ้นให้แก่การอภิเษกสมรส[8] ในขณะที่สถานการณ์ได้เลวร้ายลงไปอีกเมื่อจุลสารสิ่งพิมพ์ลามกอนาจาร ลีเบลล์ (ฝรั่งเศสlibelles) ได้เสียดสีล้อเลียนทั้งคู่โดยการตั้งคำถามว่า "กษัตริย์จะทรงทำได้ไหม? กษัตริย์จะทรงทำได้ไหม"[9]
ในช่วงเวลานั้นมีการถกเถียงถึงสาเหตุของความล้มเหลวในช่วงต้นของการมีองค์รัชทายาท และก็ยังทรงเป็นเช่นนั้นไป หนึ่งในข้อเสนอแนะก็คือเจ้าชายหลุยส์โอกุสต์ต้องทรงทุกข์ทรมานจากความเสื่อมสมรรถภาพทางสรีรวิทยา[10] ส่วนมากคาดเดากันว่าเกิดจากพระอาการหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศไม่เปิดในวัยพระเยาว์ (อังกฤษphimosis) ซึ่งคำเสนอแนะนี้ถูกเสนอขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1772 โดยเหล่าแพทย์หลวง[11] ด้านเหล่านักประวัติศาสตร์ยึดมั่นต่อมุมมองนี้ว่าทรงได้เข้ารับการสุหนัต[12] (วิธีการรักษาทั่วไปของอาการหนังหุ้มปลายไม่เปิด) เพื่อบรรเทาพระอาการหลังจากเป็นเวลาผ่านไปเจ็ดปีหลังการอภิเษกสมรส แพทย์หลวงประจำพระองค์ไม่เห็นชอบกับการผ่าตัดมากนัก - การผ่าตัดมีความละเอียดอ่อน, มีความชอกช้ำ และง่ายซึ่งการ "สร้างความเสียหายร้ายแรง" ต่อบุรุษวัยฉกรรจ์ ข้อถกเถียงเรื่องพระอาการข้างต้นและผลที่ตามมาจากการผ่าตัดส่วนมากสามารถพบเห็นได้ในงานเขียนของสเตฟาน ชไวจ์ นักเขียนชาวออสเตรีย[13]
อย่างไรก็ตาม เป็นที่ยอมรับในหมู่นักประวัติศาสตร์ยุคใหม่ส่วนมากว่าพระองค์มิทรงเคยเข้ารับการผ่าตัด[14][15][16] - ตัวอย่างเช่นในช่วงปลาย ค.ศ. 1777 ราชทูตปรัสเซียนามว่า บารอน โกลต์ซ รายงานว่าพระมหากษัตริย์แห่งฝรั่งเศสทรงปฏิเสธรับการผ่าตัดอย่างแน่นอน[17] ข้อเท็จจริงก็คือเจ้าชายถูกประกาศว่ามีพระสมรรถภาพสมบูรณ์อย่างเยี่ยมยอดต่อการมีเพศสัมพันธ์ ยืนยันโดยจักรพรรดิโจเซฟที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และในช่วงที่ทรงถูกกล่าวอ้างถึงการเข้ารับการผ่าตัด พระองค์เสด็จออกไปล่าสัตว์แทบจะทุกวันตามคำบันทึกส่วนพระองค์ ซึ่งหมายความว่าการทรงเข้ารับการผ่าตัดไม่มีโอกาสที่จะเป็นไปได้เลย อย่างน้อยที่สุดก็ไม่น่าจะทรงสามารถเสด็จออกไปล่าสัตว์ในช่วงสองสามสัปดาห์หลังจากการผ่าตัดนั้น ทั้งนี้ประเด็นถกเถียงถึงความสมบูรณ์ทางสรีระส่วนพระองค์ถูกนำไปประกอบกับปัจจัยอื่นแล้ว ซึ่งก็ยังคงเป็นที่โต้แย้งและถกเถียงมาจนถึงปัจจุบัน
ในช่วงระยะต่อมา แม้ว่าจะประสบกับความยากลำบากมาก่อนหน้านี้ แต่ในท้ายที่สุดทั้งสองพระองค์ก็ทรงมีรัชทายาทสืบเชื้อพระวงศ์รวมสี่พระองค์ ได้แก่
  • เจ้าหญิงมารี เตเรส ชาร์ลอตต์ (19 ธันวาคม ค.ศ. 1778 – 19 ตุลาคม ค.ศ. 1851)
  • เจ้าชายหลุยส์ โจเซฟ ซาวีแยร์ ฟร็องซัวส์, โดแฟ็งแห่งฝรั่งเศส (22 ตุลาคม ค.ศ. 1781 – 4 มิถุนายน ค.ศ. 1789)
  • เจ้าชายหลุยส์ ชาร์ลส์ (พระเจ้าหลุยส์ที่ 17 แห่งฝรั่งเศสในอนาคต ผู้ทรงเป็นกษัตริย์แต่เพียงในนาม) (27 มีนาคม ค.ศ. 1785 – 8 มิถุนายน ค.ศ. 1795)
  • เจ้าหญิงโซฟี เฮเลน เบียทริกซ์, สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ (9 กรกฎาคม ค.ศ. 1786 – 19 มิถุนายน ค.ศ. 1787)
คาร์ล ชอว์ เขียนในหนังสือ Royal Babylon: The Alarming History of European Royalty ของเขาว่า "ว่ากันว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เป็นที่จดจำจากการเป็นพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศสพระองค์แรกที่ทรงริเริ่มการใช้มีดและส้อม อีกทั้งการที่ทรงสรงน้ำและสีพระทนต์น้อยครั้ง" ท้ายที่สุดราชทูตอิตาลีประจำราชสำนักฝรั่งเศสผู้นี้เขียนไว้ตอนท้ายประมาณพระราชกิจวัตรขององค์กษัตริย์ไว้ดั่งกับ "ความสนพระราชหฤทัยในสุขอนามัยส่วนพระองค์อันแปลกประหลาด"

ช่วงการปฏิวัติ

พระเจ้าหลุยส์ตอนการปกครองนั้นในช่วงการปฏิวัติพระเจ้าหลุยส์พร้อมพระโอรสและพระธิดาต้องทรงหลบหนีไปพระราชวังตุยเลอรีส์ชั่วคราว และจุดเป็นอีกอย่างพระเจ้าหลุยส์สั่ง เนคเกอร์ช่วย เขาเป็นคนโปรดของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 พระเจ้าหลุยส์ถูกแนะนำจากพระชายาให้ขอความช่วยเหลือจากออสเตรียและปรัสเซียโดยถูกจับได้ที่ วาแรน์และถูกนำตัวกลับปารีส

10 อันดับแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติของโลก

10.The Tasmania Island

Tasmania Island เป็นสวรรค์ทางธรรมชาติบนขอบโลก Tasmania เป็นเกาะหนึ่งของออสเตรเลีย อยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ไปทางใต้ของรัฐวิคตอเรียประมาณ 240 กม.ในมหาสมุทรแปซิฟิคใต้ เป็นเกาะที่มีธรรมชาติสวยงาม มีชีวิตสัตว์ป่ามากมาย หาดทรายที่บริสุทธิ์ ตลอดจนรีสอร์ทที่สวยงาม เหมาะสำหรับการพักผ่อนเป็นอย่างยิ่ง

9.Lake Baikal

ทะเลสาบไบคาล ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของไซบีเรีย ในรัสเซีย ทางตะวันตกของภูเขา Yablonovy Mountains ไบคาลเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในยูเรเซีย มีพื้นที่ราว 31,494 ตารางกิโลเมตร และทะเลสาบไบคาลเป็นทะเลสาบที่ลึกที่สุดในโลกด้วย โดยมีส่วนที่ลึกที่สุด 1,620 เมตรทะเลสาบไบคาล เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำที่แปลกๆหายากมากมาย รวมไปถึงแมวน้ำไบคาล, omul salmon, และสัตว์หายากอื่นๆ ทะเลสาบนี้มีฉายาว่า “ไข่มุกแห่งไซบีเรีย” จุดที่นักท่องเที่ยวชอบไปชมมากที่สุดของที่นี่คือ the Olkhon Island

8.The Plitvice Park

พลิตวิคปาร์ค เป็นอุทยานที่เก่าแก่ที่สุดทางตะวันตกเฉียงใต้ของยุโรป ตั้งอยู่ที่ประเทศโครเอเชีย ซึ่งตอนนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อที่สุดของประเทศด้วย น้ำตกพลิตวิคเป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาบคาร์สติค (karstic lakes) เป็นแหล่งดึงดูดนักท่องให้มาที่นี่ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 แล้วพลิตวิคเป็นจุดเชื่อมต่อของสายน้ำจากทะเลสาปทั้ง 16 แห่ง เข้าด้วยกัน อีกทั้งยังมีผืนป่าที่สวยงาม ทำให้ พลิตวิคปาร์คเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามที่สุดของยุโรป อุทยานแห่งชาติพลิตวิคเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติที่ประกอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่หลากหลายพันธุ์ เช่น ต้นบีช (beech), spruce, and fir trees, and features a mixture of Alpine และ พืชแถบเมดิเตอเรเนียน

7.Jiuzhaigou River

Jiuzhaigou River ด้วยความสวยงามเหมือนแดนสวรรค์ ท่ามกลางธรรมชาติกลางเทือกเขาของ Aba Tibetan ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัด เสฉวน ด้วยความงดงานมของสายน้ำจิ่วใจ้โกจึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติอีกแห่งหนึ่ง เพราะลักษณะความสวยงามของพื้นน้ำในหุบเขาแห่งนี้ ทีมีสี สรร สวย ใส ซึ่งเป็นคุณสมบิพิเศษของที่นี่ ซึ่งไม่สามารถหาชมได้จากที่อื่นใดในโลก จิ่วไจ้โกได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาที่นี่ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีนเอง จิ่วไจ้โกยังได้รับการขนานนามว่าเป็นมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลก นอกจากนั้นที่นี่ยังเป็นที่อยู่อาศัยของนกกว่า 140 สายพันธุ์ ตลอดจนสัตว์โลกยุคโบราณอย่างหมีแพนด้าด้วย

6.Yellowstone National Park

พื้นที่อนุรักษ์ที่กว้างใหญ่ไพศาลของอเมริกา ที่มีพื้นที่ 8,982 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมไปถึงทางตะวันออกของ Idaho, ทางใต้ของ Montana, และทางตะวันตกเฉียงเหนือของ Wyoming พื้นที่ส่วนใหญ่ของอุทยานแห่งชาติ Yellow Stone เป็นพื้นที่ราบสูงในเทือกเขาร้อกกี้ เรารู้จัก Yellow Stone Park เพราะลักษณะพิเศษทางภูมิศาสตร์ของที่นี่ รวมไปถึงแหล่งน้ำพุร้อนกว่า 200 แห่ง เพราะความกว้างใหญ่ของ The Yellowstone National Park จึงทำให้นักท่องเที่ยวมาที่นี่ด้วยจุดสนใจแตกต่างกันออกไป 10 แหล่งท่องเที่ยวใน Yellow Stone ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด

5.Bali Island

บาหลี คือจังหวัดหนึ่งของอินโดนีเซีย และเป็นส่วนหนึ่งของกาะ The Lesser Sunda Islands อยู่ห่างจากเกาะชวา 3.2 กม.ทางตะวันออก มีพื้นที่ 5,560 ตารางกิโลเมตร มียอดเขาสูงถึง 3,142 เมตร ซึ่งเดิมเป็นภูเขาไฟมาก่อน บาหลีมีพื้นที่เป็นเขา ทะเล และทุ่งราบในทางใต้ มีฝนตกหนักในหน้ามรสุม ป่าของที่นี่มีทั้งเสือและกวาง บาหลีเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปมากที่สุดของอินโดนีเซีย เป็นที่รับรู้กันถึงศิลปะชั้นสูง เช่นการเต้นรำ รูปปัน การแกะสลัก ภาพวาด เครื่องหนัง งานโลหะ ตลอดจนดนตรี สิ่งเหล่านี้ได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้าไปบาหลีจำนวนมากในแต่ละปี

4.Barbados

Barbados แหล่งท่องเที่ยวที่แสนวิเศษณ์ในทะเลแคลิเบียนนี้เหมาะแก่การไปพักผ่อน สร้างอัลบั้มแห่งความทรงจำ บาบาดอส คือเกาะที่ใหญ่ที่สุดในทะเลแคลิเบียน เป็นกะที่เต็มไปด้วยถ้ำ เหมาะสำหรับนักผจญภัยที่ชอบสถานที่แบบนั้น
ถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในเกาะบาบาดอส คือ Harrison Cave ซึ่งเป็นถ้ำหินปูน แต่ละถ้ำที่นี่มีสิ่งที่สวยงามแตกต่างกันไป เช่น the Animal Flower Cave that provides a wonderful sight of the animal flowers with interesting rock formations, rivers and waterfalls

3.Seychelles

สาธารณรัฐ Seychelles ที่ประกอบไปด้วยเกาะ 115 เกาะ ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ทางตะวันออกของอัฟริกา ชายหาดของเซเชลเลส ไม่ใช่เฉพาะหาดทรายกับแสงแดดเท่านั้น แต่เป็นมรดกโลกที่เรารู้กันในนาม “สวนของเอเดน” (Garden of Eden) ทุกอย่างบนเกาะล้วนแล้วแต่สิ่งเพอร์เฟคทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติที่สวยงาม สัตว์ป่า ผู้คน และอากาศอันบริสุทธิ์ ด้วยความสมบูรณ์แบบของที่นี่ เซเชเลส จึงดึงดูดนักท่องเที่ยวผู้อยากรู้อยากเห็น และคู่รักให้มาฮันนี่มูนกันที่นี่อย่างมากมายในแต่ละปี ที่นี่จะเป็นสถานที่ที่คุณจะหลงรักเมื่อแรกพบเลยทีเดียว

2.The Preikestolen Cliff

นอรเวย์ มีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามมากมาย แต่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ the Fjords and Preikestolen cliff หน้าผาที่มีพื้นที่ราบ 25 ตารางเมตร และสูง 604 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นสถานที่ที่น่าทึ่งที่สุด เมื่อคุณได้ไปนั่งถ่ายภาพบนนั่น บนแผ่นหินแห่ง 25 ตร.เมตรนี้ นักท่องเที่ยวจะสามารถมองเห็นพื้นที่รอบๆ ทั้งท้องฟ้าและโขดหิน ในวันที่พระจันทร์เต็มดวงที่ Fjords and the Preikestolen cliff จะเป็นช่วงเวลาแห่งความทรงจำที่โรแมนติกที่สุด

1.The Bora-Bora Island

โบรา โบร่า คือเกาะในหมู่เกาะ Leeward Island ของ the Society Islands of French Polynesia ในมหาสมุทรแปซิฟิคใต้ ห่างจาก Tahiti ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 225 กม.เป็นเกาะที่มีขนาด กว้าง 4 กม. และยาว 6 กม เกาะโบรา โบรา เป็นเหมือนสวรรค์บนดิน ซึ่งมีพื้นหญ้าที่เขียวชอุ่มเสมือนพรมที่เชิงเขา ทะเลที่ส่องประกายระยิบระยับ พื้นทรายสีเงิน สิ่งเหล่านี้จะตรึงใจนักท่องเที่ยวตลอดไปเมื่อพบเห็น

วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556

จานดังเด็ดนานาชาติในค่ำคืนคริสมาสต์แสนอร่อย

จานดังจานเด็ดนานาชาติ ในค่ำคืนคริสมาสต์แสนอร่อย

ช่วงนี้ผมครึ้มเป็นพิเศษทีเดียวครับ สำหรับเทศกาลคริสต์มาส  จริงๆ เป็นผมพุทธศาสนิกชนครับ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทศกาลคริสต์มาสของชาวคริสต์ก็มีอะไรสวยๆ ให้ดูมาก มีการประดับประดาไฟสวยๆ เพลงประจำเทศกาล ทำให้มนุษย์พุทธอย่างเราๆ ก็อดชื่นชมมิได้เลยทีเดียวครับ

สำหรับประวัติการเฉลิมฉลองคริสต์มาสต์อย่างคร่าวๆ เริ่มจากทางประเทศตะวันตกเริ่มฉลองการประสูติของพระเยซู ในวันที่ 25 ธันวาคมมาตั้งแต่ ค.ศ.354 เป็นอย่างช้า เหตุที่เลือกวันนี้ เพราะตรงกับงานฉลองเทพ และฤดูกาลในสมัยนั้น เช่น วันเหมายันซึ่งดวงอาทิตย์โคจรมาอยู่ในจุดใต้สุดในฤดูหนาวครับ  ที่สำคัญสิ่งที่น่าสนใจมากเป็นพิเศษ หนีไม่พ้น อาหารอร่อยๆ ในช่วงเทศกาลนี้ เรียกได้ว่าน่าหม่ำทุกอย่าง แถมเป็นวัฒนธรรมที่น่ารู้มากๆ ครับ


 ซึ่งสำหรับอาหารในเทศกาลเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสนั้น ถ้าเป็นแบบกลางๆ ที่ทราบกันดีก็คือมี "ไก่งวงอบ" เป็นพระเอกของโต๊ะครับ โดยชาวตะวันตกจะมีธรรมเนียมให้ชายผู้อาสุโสที่สุดของบ้าน เป็นคนตัดแบ่งไก่งวงให้แก่สมาชิกภายในบ้านแต่ก็จะมีบางบ้านที่อาจจะไม่ทำไก่ งวงอบแต่จะทำไก่งวงย่าง (Roast Tom Turkey King David) ก็ได้ ส่วนของหวานสุดฮิตตจะเป็น "คริสต์มาสพุดดิ้ง" หรือก็คือเค้กผลไม้นั่นแหละครับ แต่พิเศษตรงที่ใช้วิธีนึ่งแทนการอบแบบปกติ เมื่อถึงเวลายกเสิร์ฟจะมีการราดบรั่นดีเล็กน้อย แล้วจุดไฟเพื่อเพิ่มความหอมให้กับพุดดิ้ง (กลืนน้ำลายเอื๊อก!) และในค่ำคืนนี้ เขาจะมีเครื่องดื่มสุดพิเศษประจำเทศกาล ได้แก่ "คริสต์มาสไวน์" ถือเป็นเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมในเทศกาลวันคริสต์มาสเช่นนี้มาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ในวันคริสต์มาสของทุกปีนั้นอยู่ในช่วงหน้าหนาว ชาวตะวันตกจึงนิยมดื่มไวน์ เพราะถือว่าเป็นเครื่องดื่มที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ในขณะที่อังกฤษเองนอกจากดื่มไวน์แล้ว ยังมี "วาสเซล"  ซึ่งเป็นเครื่องดื่มร้อนที่ผสมแอลกอฮอล์และเครื่องเทศ ไว้สำหรับดื่มในเทศกาลวันต์มาสนี้เพิ่มขึ้นมาอีกด้วย

นอกจาก นี้ ยังมีวัฒนธรรมด้านอาหารในเทศกาลคริสต์มาสที่แต่ละประเทศมีไม่เหมือนกันด้วย ครับ ซึ่งน่าสนใจมากๆ เมนูประเทศไหนเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง ตามไปดูกันเล๊ยยยย...ยยย

จานดังจานเด็ดนานาชาติ ในค่ำคืนคริสมาสต์แสนอร่อย
ris a la mande


เปิดฉากกันที่ เดนมาร์ก เริ่มต้นด้วยของหวานจานเด็ด จากเดนมาร์กที่มีชื่อว่า Ris a la mande  ซึ่งชาวเดนิชรับประทานกันในช่วงเทศกาลคริสต์มาส จนกลายเป็นประเพณีสำคัญ เรียกได้ว่า เป็นเรื่องประหลาดมาก ถ้าใครผ่านเทศกาลคริสต์มาสไปโดยปราศจากของหวานเมนูนี้

Ris a la mande ทำจากข้าวเมล็ดกลมต้มกับนมจนแฉะคล้ายข้าวเปียก จากนั้น นำมาคลุกกับวิปครีม ใส่น้ำตาลและเกลือลงไปเล็กน้อย ตามด้วยเมล็ดอัลมอนด์ทุบจนได้ข้าวแฉะๆ ที่มีรสชาติหอมมัน นุ่มละมุนลิ้น ต่อมาก็นำไปแช่เย็นก่อนรับประทาน คู่กับซอสสีแดง ที่ทำจากน้ำเชอรี่ รสชาติออกเปรี้ยวหวานตัดความเลี่ยนของตัวข้าวได้อย่างดีเลิศ  เสน่ห์ของประเพณีการรับประทาน Ris a la mande ที่เด็กๆ ชอบกันเป็นพิเศษก็คือ แม่ครัวจะใส่เมล็ดอัลมอนด์ (ที่ยังไม่ได้ทุบ) ลงไปในหม้อข้าวต้มก่อนที่จะตักแบ่งให้สมาชิกครอบครัวซึ่งมารวมตัวกันเพื่อ งานนี้โดยเฉพาะ และหากคนไหนได้อัลมอนด์ (เต็มเมล็ด) จะถือว่าเป็นผู้โชคดีได้รับของขวัญ ซึ่งเจ้าภาพเตรียมไว้ แต่มีข้อแม้ว่า ห้ามเผลอเคี้ยวและกลืนไปซะก่อน ไม่งั้นอด (ผิดกติกา)

จานดังจานเด็ดนานาชาติ ในค่ำคืนคริสมาสต์แสนอร่อย
Buche de Noel


ในขณะที่เมืองน้ำหอมอย่าง "ฝรั่งเศส"  เป็น เค้กรูปขอนไม้ หรือ Buche de Noel หรือ Yule Log   โดยมากเค้กชนิดนี้จะทำจากแผ่นสปันจ์เค้กที่ม้วนจนกลม (คล้ายๆ แยมโรล)  แล้วตกแต่งด้วยครีมสีน้ำตาล เป็นเปลือกไม้ไอซิ่งแทนหิมะ เมอร์แรงแทนเห็ด ผลราสเบอรี่ และตามด้วยลูกสนจนหน้าตาดูเหมือนขอนไม้จริงๆ ตามตำนานเล่าว่า ในสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 1 ได้มีกฎให้ประชาชนในปารีส ปิดปล่องไฟในระหว่างฤดูหนาว เพราะเชื่อกันว่า การเปิดปล่องไฟทิ้งไว้ ทำให้อากาศหนาว เมื่อเวลาเข้าบ้านและทำให้เจ็บป่วยได้ คำสั่งนี้ ทำให้ชีวิตของชาวปารีส ที่ผูกพันอยู่กับเตาผิงต้องเปลี่ยนไป  และเพื่อระลึกถึงชีวิตเก่าๆ ที่สวยงาม จึงมีการทำเค้กรูปขอนไม้เป็นสัญลักษณ์ขึ้นมาแทนไม้ฟืนที่เคยใช้เป็นเชื้อ เพลิง นอกจากนั้นก็ยังเป็นการสร้างโอกาสให้สมาชิกในครอบครัวมาร่วมรับประทานเค้ก ด้วยกัน และพูดคุยเล่าเรื่องต่างๆ เหมือนครั้งที่เคยนั่งผิงไฟ สร้างความอบอุ่นร่วมกันเหมือนเมื่อตอนที่เตาผิงยังใช้ได้อยู่

จานดังจานเด็ดนานาชาติ ในค่ำคืนคริสมาสต์แสนอร่อย
Turron



โอ๊ล่า! ไปที่ดินแดนกระทิงดุกันบ้างครับ สเปนก็มีของหวานยอดฮิตที่ขาดไม่ได้ของชาวสเปน สำหรับเทศกาลคริสต์มาสในทุกๆ ปี คือ ขนมหวานที่เรียกว่า ตูรอน (Turron) ดูไปดูมาอารมณ์ประมาณ "ถั่วตัด" บ้านเราครับ โดยมากทำจากน้ำผึ้ง ไข่ขาวและถั่ว มีทั้งแบบใส่อัลมอนด์ เฮเซลนัท และถั่วชนิดอื่นๆ นำมากวนให้เข้ากันจนงวด แข็ง แล้วตัดแบ่ง มีทั้งแบบเป็นแต่งสี่เหลี่ยมผืนผ้า แบบกลม แบบหนา แบบบาง ขนมตูรอนนั้น มีประวัติความเป็นมาเก่าแก่ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 บ้างก็ว่าขนมชนิดนี้แท้จริงแล้ว ถูกทำขึ้นครั้งแรกโดยแขกมัวร์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเข้ามาครอบครองดินแดนแถบเมืองคิโคน่า แคว้นอลิกันเต้ ต่อมาก็แพร่หลายและได้รับความนิยม  ไปถึงแคว้นอื่นๆ รวมทั้งประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของสเปนด้วย ไม่ว่าจะเป็นฟิลิปปินส์หรือละตินอเมริกา

จานดังจานเด็ดนานาชาติ ในค่ำคืนคริสมาสต์แสนอร่อย
Christmas Pudding



เขยิบไปดูเมืองผู้ดีอย่าง "อังกฤษ" กันบ้างครับ ที่นี้ขนมออริจินัลสำหรับคริสมาสต์ไม่ใช่อะไรอื่นครับ "คริสต์มาสพุดดิ้ง" นั่นเอง เขาถือกันวาสัญลักษณ์แห่งความอบอุ่นในครอบครัว เพราะโดยมากในแต่ละบ้านมักมีสูตรเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์ของตนสืบต่อกันรุ่น ต่อรุ่น  พุดดิ้งชนิดที่ว่านี้มีเนื้อค่อนข้างหนัก เพราะมีส่วนผสมหลักเป็นผลไม้แห้งและถั่ว สีจะออกคล้ำถึงดำ เนื่องจากใช้น้ำตาลทรายแดง และน้ำเชื่อมที่มีสีดำ  ขั้นตอนการทำพุดดิ้งชนิดนี้ นับว่าเป็นกิจกรรมพิเศษอย่างหนึ่งของสมาชิกในครอบครัว เพราะมีธรรมเนียมว่า สมาชิกทุกคนจะต้องมาช่วยกันคนส่วนผสมและระหว่างคน ก็สามารถอธิษฐานขอพรได้ 1 ข้อ แล้วจะสมหวัง ที่น่ารักไปกว่านั้น คือ ในสมัยก่อนจะมีประเพณีการใส่เงินเหรียญ 6 เพนนี ลงไปอบกับส่วนผสมด้วย หากใครได้เหรียญก็จะถือว่าเป็นผู้โชคดี เชื่อว่าจะเจอแต่สิ่งดีงามตลอดปีที่กำลังจะมาถึง  ขนมชนิดนี้ มักประดับประดาด้วยช่อโฮลีก่อนเสิร์ฟ หรือไม่ก็ราดด้วยบรั่นดีแล้วจุดไฟเป็นการเรียกเสียงปรบมือต้อนรับขนมพิเศษ ของคนในครอบครัว

จานดังจานเด็ดนานาชาติ ในค่ำคืนคริสมาสต์แสนอร่อย
Julmust



ข้ามไปที่สวีเดน เมนูเด็ดของชาวสวีดิช อาจจะแปลกไปจากของประเทศอื่นๆ ซักหน่อย เนื่องจากไม่ใช่อาหารที่ปรุงกันเองตามบ้าน แต่เป็นน้ำอัดลมชนิดพิเศษที่มีขายเฉพาะในช่วงเทศกาลคริสต์มาสเท่านั้น น้ำอัดลมที่ว่านี้ มีชื่อเรียกว่า Julmust หรือยูลมุส มีรสชาติใกล้เคียงกับเบียร์ และมีส่วนผสมประกอบด้วย โซดา น้ำตาล และ Hop (เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งใช้ในการหมักเบียร์) เชื่อกันหรือไม่ว่า ทุกๆ ปีในช่วงเดือนธันวาคม Julmust จะมียอดขายพุ่งกระฉูด แซงโค้งเครื่องดื่มน้ำดำยี่ห้อดังๆ ซึ่งยอดขายตกลงกว่าร้อยละ 50 เลยทีเดียว เพราะบางคนเล่นซื้อกันเยอะๆ เพื่อเก็บไว้กินอีกทั้งปี ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะกว่าจะได้ ดื่มอีกก็ตั้งปีหน้าธันวาโน่น

จานดังจานเด็ดนานาชาติ ในค่ำคืนคริสมาสต์แสนอร่อย
Egg-Nog



แต่สำหรับพี่เบิ้มสหรัฐอเมริกา นอกจากเมนูหลัก ๆ อย่างไก่งวงและคริสต์มาสพุดดิ้งแล้ว แล้วที่นี่เขายังมีเครื่องดื่มแก้หนาวสูตรพิเศษที่เรียกว่า เอ้กน็อค (Egg-Nog) เพิ่มขึ้นมาด้วย ซึ่งเจ้าเอ้กน็อคที่ว่านี้ทำมาจากครีม น้ำตาล นมสด และไข่ไก่ ก่อนจะนำไปปั่นรวมกันก่อนจะเติมเหล้ารัมตบท้าย

จานดังจานเด็ดนานาชาติ ในค่ำคืนคริสมาสต์แสนอร่อย
Gluwine
ฝั่งอาณาจักรแห่งดนตรีและศิลปะอย่างออสเตรียก็มีเครื่องดื่มแก้หนาวที่นิยมดื่มในช่วงเทศกาลคริสต์มาสด้วยเช่นกัน ซึ่งนั่นก็คือ  กลูไวน์ (Glu Wine) หรือ ฮ็อตไวน์  (Hot wine) ที่ทำจากไวน์แดงนำมาอุ่นให้ร้อน ๆ ก่อนจะโรยผงเครื่องเทศลงไปด้วย

จานดังจานเด็ดนานาชาติ ในค่ำคืนคริสมาสต์แสนอร่อย 

แต่ที่ออกจะโหดไปนิดหนีไม่พ้นนอร์เวย์ เพราะมันคือ หัวแกะ ที่เรียกว่า Smalahove วิธีการก็คือ นำหัวแกะมาปิ้ง เพื่อลอกขน ผ่าครึ่งตามยาว เอาสมองออก ปรุงรสด้วยเกลือ หรือนำไปรมควันแล้วตากแห้ง แล้วนำมาเคี่ยวกับน้ำซุปจนงวด รับประทานกับมันบดและหัวตาบาก้าบด  โดยมากเวลารับประทานจะเริ่มที่หูและตาก่อน เพราะเป็นส่วนที่ไขมันเยอะที่สุด จึงต้องจัดการเลียตั้งแต่ตอนที่ร้อนๆ อยู่ ส่วนหัวก็จะเริ่มแซะเนื้อจากส่วนหน้าไปข้างหลัง และส่วนที่อร่อยที่สุด ก็คือลิ้น และกล้ามเนื้อตา  ในปี 2541 อียู ได้ออกกฎหมายห้ามรับประทานหัวแกะที่โตเต็มวัยแล้ว เพราะเสี่ยงต่อการมีเชื้อ Scrapie ดังนั้นตอนนี้จึงอนุญาตให้รับประทานได้แต่หัวลูกแกะเท่านั้น


25 ธันวาคม วันคริสต์มาส

25 ธันวาคม วันคริสต์มาส
 
25 ธันวาคม วันคริสต์มาส

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

         ถึงช่วงปลายปีทีไร ชาวไทยเราก็มีเรื่องฉลองอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวันปีใหม่หรือวันคริสต์มาสที่กำลังจะเข้ามาถึง แม้ว่าวันคริสต์มาสนี่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธสักเท่าไร แต่พี่ไทยซะอย่าง ฉลองได้ทุกเทศกาลอยู่แล้ว แต่ก่อนที่จะไปฉลองกัน ลองมารู้จักกับวันคริสต์มาสก่อนดีไหม

ตำนานวันคริสต์มาส

          คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

          เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร

           ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

          เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม

25 ธันวาคม วันคริสต์มาส

องค์ประกอบในงานคริสต์มาส

 ซานตาครอส
เป็นสิ่งแรกๆ ที่คนจะนึกถึงในฐานะสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส ซึ่งว่ากันว่าซานตาคลอสคนแรก คือ นักบุญ (เซนต์) นิโคลัส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 และเหตุที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นซานตาครอสคนแรก มาจากวันหนึ่งที่ท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่ง แล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี
 
25 ธันวาคม วันคริสต์มาส
          นักบุญนิโคลัส นั้นเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม เอาไว้ ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลัสก็เปลี่ยนเป็น ซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราชก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนและใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะที่มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติของเขา

          ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียงตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย อาทิ ความปิติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง
25 ธันวาคม วันคริสต์มาส

 ถุงเท้า           จากที่นักบุญนิโคลัสได้ปีนขึ้นไปบนปล่องไฟของบ้านเด็กหญิงยากจน เพื่อที่จะมอบเหรียญเงินให้เป็นของขวัญ แต่เหรียญนั้นกลับตกไปอยู่ในถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้หน้าเตาผิง พอรุ่งเช้าเด็กหญิงตื่นมาเจอเหรียญเงินในถุงเท้าจึงดีใจมาก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ผู้คนมากมายต่างพากันแขวนถุงเท้าคริสต์มาสไว้ เพื่อหวังจะได้รับของขวัญเช่นเดียวกันบ้าง

25 ธันวาคม วันคริสต์มาส
 ต้นคริสต์มาส
          นอกจากนี้อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ก็คือ ต้นคริสต์มาส ซึ่งต้นคริสต์มาสก็คือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยลูกแอปเปิ้ลและขนมปังเพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิท และก็ได้มีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยจนมาถึงการประดับด้วยดวงไฟหลากสีสัน ขนม และของขวัญ อย่างในทุกวันนี้ การตกแต่งแบบนี้ต้องย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก
          โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ที่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก และอีกเหตุผลที่ใช้ต้นสนก็เพราะว่ามันหาง่าย

          ในสมัยโบราณนั้นต้นคริสต์มาส หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โดยตามพระคัมภีร์นั้นได้เปรียบพระเยซูเจ้าเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เขียวเสมอในทุกฤดูกาล สื่อถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า อีกทั้งความสว่างของพระองค์ยังเหมือนแสงเทียนที่ส่องสว่างในความมืด และรวมถึงความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้นั้นเป็นจุดศูนย์รวมของครอบครัวในเทศกาลคริสต์มาส

25 ธันวาคม วันคริสต์มาส

 ต้นฮอลลี่

          ต้นฮอลลี่ เป็นต้นไม้พุ่มเตี้ย และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส เชื่อกันว่า สีเขียวของต้นฮอลลี่มีความหมายถึง การมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ และมีความสัมพันธ์กับพระเยซู โดยผลสีแดงของต้นฮอลลี่นั้นหมายถึงหยดเลือดของพระเยซูที่ไหลลงบนไม้กางเขน ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความรักที่มีต่อพระเจ้า ใบไม้ที่มีหนามของต้นฮอลลี่เป็นสิ่งที่เตือนพวกเราถึงมงกุฏหนามที่พวกชาวทหารโรมันได้นำมาวางไว้บนศีรษะของพระเยซูคริสต์

25 ธันวาคม วันคริสต์มาส

 ดอกไม้คริสต์มาส หรือ Poinsettia
          ตำนานของดอก Poinsettia ที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของวันคริสต์มาส มาจากเรื่องราวของเด็กหญิงจนๆ คนหนึ่ง ที่ต้องการหาของขวัญไปมอบให้พระแม่มารีในวันคริสต์มาสอีฟ แต่เนื่องจากเธอไม่มีสิ่งของใดๆ ติดตัว จึงเดินทางไปตัวเปล่า และระหว่างทางเธอได้พบกับนางฟ้าที่บอกให้เธอเก็บเมล็ดพืชไว้ ต่อมาเมล็ดพืชนั้นกลับเจริญเติบโตเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีเลือดหมูสดใส ซึ่งก็คือดอก Poinsettia ตั้งแต่นั้นดอก Poinsettia ก็ได้รับความนิยมใช้ประดับประดาบ้านในงานคริสต์มาส
 ดอกคริสต์มาส Christmas Rose
          มีต้นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ ลักษณะเป็นดอกสีขาว และมักออกดอกในช่วงฤดูหนาว ตำนานของดอกคริสต์มาสนี้มีอยู่ว่า ในช่วงที่พระเยซูประสูติ มีผู้รอบรู้ 3 คน กับคนเลี้ยงแกะเดินทางมาพบพระเยซู ระหว่างทางพวกเขาพบกับ มาเดลอน เด็กหญิงที่เลี้ยงแกะคนหนึ่ง เมื่อเธอทราบว่าทั้งหมดเดินทางมาเพื่อมอบของขวัญให้พระเยซู มาเดลอนก็เสียใจที่ไม่มีของขวัญใดไปมอบให้พระเยซูบ้าง ก่อนที่นางฟ้าที่เฝ้ามองเธออยู่จะเกิดความเห็นใจจึงร่ายมนตร์เสกดอกไม้สีขาวน่ารักและมีสีชมพูอยู่ตรงปลายกลีบให้เธอ และดอกไม้นั้นคือ ดอกคริสต์มาสนั่นเอง

25 ธันวาคม วันคริสต์มาส

 เพลงวันคริสต์มาส          เพลงคริสต์มาสเริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 แต่งโดยพระสงฆ์และฆราวาส มีเนื้อร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมาของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่

          เพลงคริสตมาสแบบใหม่นี้ เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน เพราะมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดีในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาสที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night

          ความเป็นมาของเพลงนี้มาจากวันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้องไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ นำไปให้เพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber) ใส่ทำนองในคืนวันที่ 24 นั่นเอง และเล่นเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก
 คำอวยพรวันคริสต์มาส
          ในวันคริสต์มาสเรามักจะใช้คำอวยพรให้แก่กันและกันว่า Merry X'mas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า "สันติสุขและความสงบทางใจ" คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ และได้จัดให้มีการฉลองเพื่อระลึกถึงการบังเกิดของพระเยซู ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศ ประเพณีนี้ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษที่ 4 และค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป
25 ธันวาคม วันคริสต์มาส

 สีประจำวันคริสต์มาส
สีที่เกี่ยวข้องในวันคริสต์มาสประกอบด้วย
          สีแดง : เป็นสีของผลฮอลลี่ หรือซานตาครอส เป็นสีของเดือนธันวาคม ที่แสดงถึงความตื่นเต้น และหากเป็นสัญลักษณ์ตามศาสนา สีแดงจะหมายถึง ไฟ, เลือด และความโอบอ้อมอารี

          สีเขียว : เป็นสีของต้นไม้ สัญลักษณ์ของธรรมชาตื หมายถึงความอ่อนเยาว์และความหวังที่จะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ เปรียบได้กับว่าเทศกาลคริสต์มาสคือเทศกาลแห่งความหวัง

          สีขาว : เป็นสีของหิมะ และเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา คือแสงสว่าง ความบริสุทธิ์ ความสุข และความรุ่งเรือง สีขาวนี้จะปรากฎบนเสื้อคลุมนางฟ้า, เคราและชายเสื้อของซานตาครอส

          สีทอง : เป็นสีของเทียนและดวงดาว เป็นสัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์และความสว่างไสว


 การทำมิสซาเที่ยงคืน          การถวายมิสซานี้เกิดขึ้นหลังจากพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส) ในปีนั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระเยซูเจ้าประสูติ เมื่อไปถึงตรงกับเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้น เมื่อเดินทางกลับมาที่พักได้เวลาตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ยังมีสัตบุรุษหลายคนไม่ได้ร่วมขบวนไปด้วยในตอนแรก พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ในโอกาสวันคริสต์มาส
 เทียนและพวงมาลัย

         พวงมาลัยนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่คนสมัยก่อนใช้หมายถึงชัยชนะ แต่สำหรับการแขวนพวงมาลัยในวันคริสต์มาสนั้น หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบบริบูรณ์ตามแผนการณ์ของพระเป็นเจ้า ซึ่งธรรมเนียมนี้ เกิดจากกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมันได้เอากิ่งไม้มาประกอบเป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเพื่อเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะจุดเทียนหนึ่งเล่ม สวดภาวนา และร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกันเป็นเวลา 4 อาทิตย์ก่อนถึงวันคริสต์มาส ประเพณีเป็นที่นิยมอยางมากในประเทศอเมริกา ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยนำเทียน 1 เล่มนั้นมาจุดไว้ตรงกลางพวงมาลัยสีเขียว และนำไปแขวนไว้ที่หน้าต่าง เพื่อเป็นการเตือนให้คนที่เดินผ่านไปมาได้รู้ว่าใกล้ถึงวันคริสต์มาสแล้ว ส่วนเหตุผลที่พวงมาลัยมีสีเขียวนั้น เป็นเพราะมีการเชื่อกันว่าสีเขียวจะช่วยป้องกันบ้านเรือนจากพวกพลังอันชั่ว ร้ายได้

 ระฆังวันคริสต์มาส
          เสียงระฆังในวันคริสต์มาสคือการเฉลิมฉลองให้กับการประสูติของพระพุทธเจ้า โดยมีตำนานเล่าว่า มีการตีระฆังช่วงก่อนเวลาเที่ยงคืนของวันคริสต์มาสเพื่อลดพลังความมืด และบ่งบอกถึงความตายของปีศาจ ก่อนที่พระเยซูผู้ที่จะมาช่วยไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์จะถือกำเนิดขึ้น และระฆังนี้มีเสียงดังกังวาลนานนับชั่วโมง ก่อนที่ในเวลาเที่ยงคืนเสียงระฆังนี้จะกลับกลายมาเป็นเสียงแห่งความสุข

25 ธันวาคม วันคริสต์มาส

 ดาว
          ดาว ในความหมายของชาวคริสต์เตียน หมายถึงการแสดงออกที่ดีของพระเยซูคริสต์ ที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า "The bright and morning star" มีความหมายพิเศษเหมือนกับว่า ดวงดาวเหล่านั้นได้แบ่งที่อยู่กับสรวงสวรรค์ ไม่ว่าจะมีกำแพงอะไรขวางกั้นระหว่างพื้นผิวโลกด้วยก็ตาม

 เครื่องประดับและแอปเปิ้ล                          

          ในบางแห่งเชื่อว่า ลำต้นของแอปเปิ้ล มองดูคล้ายกับต้นไม้ในสรวงสวรรค์ จึงมีการนำเอาแอปเปิ้ลมาประดับตามต้นไม้ในวันคริสต์มาส ส่วนเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ที่ตกแต่งต้นคริสต์มาสนั้นเป็นงานศิลปะที่จำลองจากผลไม้ และที่มีสีสันสดใสนั้นเพื่อให้เกิดความรื่นเริงในบ้าน อีกทั้งแสงระยิบระยับที่สะท้อนไปมา ยังดูสวยงามคล้ายแสงเทียนและแสงไฟ

25 ธันวาคม วันคริสต์มาส

 ของขวัญวันคริสต์มาส
                     
          การแลกเปลี่ยนของขวัญในวันคริสต์มาสนั้น เริ่มต้นจากเมือง Saturnalia ในช่วงยุคโรมัน ต่อมาชาวคริสต์รับประเพณีนี้เข้ามา ด้วยความเชื่อว่า การให้ของขวัญนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับของขวัญประเภททอง, ยางสนที่มีกลิ่นหอม และ ยางไม้หอม ซึ่งพวกนักเวทย์จากตะวันออกที่เดินทางมาคารวะพระเยซูคริสต์ นำมาให้ตอนที่ท่านประสูติ

          ทั้งหมดนั้นก็คือการเฉลิมฉลองให้กับพระเยซู ที่เกิดมาเพื่อชำระบาปให้แก่ชาวคริสต์ทั้งหลาย และเป็นเทศกาลที่นำความสุข สนุกสนาน มาสู่หมู่มวลมนุษย์