วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2555

        เพื่อเรียกร้องสิทธิของผู้ใช้แรงงานหญิงที่ถูกกดขี่เอารัดเอาเปรียบและการถูกเลือกปฏิบัติที่มีต่อชนชั้นแรงงาน จึงเป็นกำเนิดของวันสตรีสากล ดังนั้น ในวันที่ 8 มีนาคม ของทุกปี ซึ่งองค์กรที่ทำงานด้านผู้หญิงหลายประเทศทั่วโลกได้มีการจัดงานวันสตรีสากลขึ้น เพื่อรำลึกถึงการต่อสู้ของกลุ่มผู้ใช้แรงงานหญิง และเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสวันสตรีสากล รวมทั้งการจัดกิจกรรมรณรงค์เคลื่อนไหวเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลง หรือแก้ปัญหา โดยเฉพาะปัญหาที่ผู้ใช้แรงงานได้รับผลกระทบตามสถานการณ์ของแต่ละประเทศ

ความเป็นมา

 ณ เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา กรรมกรสตรีในโรงงานทอผ้าได้ลุกฮือขึ้นเดินขบวนประท้วงการเอาเปรียบ กดขี่ ขูดรีด ทารุณ จากนายจ้างที่เห็นผลผลิตสำคัญกว่าชีวิตคน ความเป็นอยู่ของแรงงานสตรีในเมืองชิคาโก ว่ากันว่าไม่ต่างอะไรจากทาสนิโกรในเงื้อมมือคนผิวขาว เพราะต้องทำงานวันละ 12-15 ชั่วโมง แต่ได้รับค่าแรงานเพียงน้อยนิดส่วนสตรีตั้งครรภ์มักถูกไล่ออก
        ในที่สุดภายใต้การนำของ คลาร่า แซทคิน ผู้นำกรรมกรสตรีโรงงานทอผ้าชาวเยอรมันลุกฮือขึ้นสู้ด้วยการเดินขบวนนัดหยุดงานในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1907 โดยเรียกร้องให้นายจ้างลดเวลาการทำงานจากวันละ 12-15 ชั่วโมง ให้เหลือวันละ 8 ชัวโมงพร้อมทั้งให้ปรับปรุงสวัสดิการภายในโรงงาน และให้สตรีมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งด้วย ในการเรียกร้องครั้งนี้ แม้จะมีหลายร้อยคนถูกจับกุม แต่ก็ได้รับการสนับสนุนจากสตรีทั้งโลก และส่งผลให้วิถีการผลิตแบบทุนนิยมเริ่มสั่นคลอน
        แต่อย่างไรก็ตามอีก 3 ปีต่อมา คือ ในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1910 ข้อเรียกร้องของเหล่าบรรดากรรมกรสตรีก็ประสบความสำเร็จ เมื่อตัวแทนสตรีจาก 18 ประเทศ เข้าร่วมประชุมสมัชชาสตรีสังคมนิยม ครั้งที่ 2 ณ เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์กที่ประชุมได้ประกาศรับรองข้อเรียกร้องของบรรดากรรมกรสตรี โดยให้ลดเวลาทำงานให้เหลือเพียงวันละ 8 ชั่วโมง ศึกษาหาความรู้ 8 ชั่วโมง พักผ่อน 8 ชั่วโมง และกำหนดให้ค่าแรงงานสตรีเท่าเทียมกับค่าแรงงานชาย อีกทั้งยังมีการคุ้มครองสวัสดิการสตรีและแรงงานเด็กอีกด้วย
        นอกจากนั้นในการประชุมครั้งนั้น ยังได้มีการรับรองข้อเสนอของ คลาร่า แซทคิน ด้วยการประกาศให้วันที่ 8 มีนาคม เป็นวันสตรีสากล

วันสตรีสากลในประเทศไทย

 สำหรับประเทศไทย เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2532 ได้มีการก่อตั้งคณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานสตรีแห่งชาติ (กสส.) ขึ้นอย่างเป็นทางการ ดังนั้นวันที่ 8 มีนาคมของทุกปี จะมีการจัดกิจกรรมเพื่อฉลองเนื่องในโอกาสวันสตรีสากล และระลึกถึงความเป็นมาแห่งการต่อสู้เพื่อให้ได้ซึ่งความเสมอภาค ยุติธรรม สันติภาพ และการพัฒนา
        และจัดตั้งขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวันมหามงคล 12 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนม์พรรษาของพระองค์ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะ ตรากตรำบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อให้คนไทยได้มีอาชีพ และได้พระราชทานให้วันที่ 1 สิงหาคมเป็น "วันสตรีไทย" ของทุกปี เพื่อให้ผู้หญิงไทยมีโอกาสแสดงถึงความรู้ ความสามารถในการพัฒนาประเทศ ควบคู่ไปกับการสร้างความเข้มแข็งให้สถาบันสังคม และให้สามารถเทียบเท่าสตรีสากลของหลายประเทศที่เจริญแล้ว
        ซึ่งทุกวันที่ 8 มีนาคมของทุกปี จะมีการประกาศถึงเกียรติประวัติของสตรีชั้นแนวหน้าของโลกทั้งที่มีชีวิต และที่เสียชีวิตไปแล้ว เช่น เจ้าหญิงไดอาน่า แห่งอังกฤษ, แม่ชีเทเรซา แห่งประเทศอินเดีย, ประธานาธิบดี เมกาวลี แห่งอินโดนีเซีย และนางอองซานซูจี ของพม่าที่เรียกร้องประชาธิปไตยกับประเทศ ส่วนในประเทศไทยมีอยู่หลายท่าน เช่น คุณหญิงแพทย์หญิงพรทิพย์ โรจนาสุนันท์, คุณสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ และคุณปวีณา หงสกุล ฯลฯ
        วันสตรีไทยถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง เพราะเปิดโอกาสให้ผู้หญิงไทยออกมาทำกิจกรรมร่วมกัน จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันสตรีมีบทบาทมากขึ้น มีความสามารถทัดเทียมผู้ชาย เป็นที่ยอมรับจากสังคม จะเห็นได้จากหน่วยงานราชการและภาคเอกชนเริ่มมีสตรีเข้าไปเป็นหัวหน้างานมากขึ้น รวมถึงการเข้าไปมีบทบาทในการบริหารประเทศชาติ สตรีไทยในยุคปัจจุบัน จึงต้องเป็นสตรีที่มีความรู้ความสามารถครบถ้วนทุกๆ ด้าน ทั้งด้านการบริหาร การจัดการ การเป็นแม่ที่ดีของลูก เป็นภรรยาที่ดีของสามี และเป็นแม่ศรีเรือนที่ดี พร้อมทั้งต้องก้าวทันกับยุคสมัย เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของสังคม

วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2555

10 อันดับ ข้อห้ามกระทำ ถ้าไม่อยากให้สมองของคุณเสื่อม ลำดับ 10-1 ลำดับ 1-10 เอาใจคนรักสุขภาพใน "10 อันดับ ข้อห้ามกระทำ ถ้าไม่อยากให้สมองของคุณเสื่อม" 1 ไม่รับประทานอาหารเช้า การที่เราไม่ได้รับประทานอาหารเช้านั้น เป็นผลให้น้ำตาลในเลือดต่ำ สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม และควรจำไว้ว่าอาหารมื้อเช้านั้น สำคัญสำหรับร่างกายที่สุด 2 รับประทานอาหารมากเกินไป แม้แต่การบริโภคมากเกินไปก็ไม่ดีต่อสมองเช่นกัน เพราะจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้ 3 การสูบบุหรี่ เราได้ยินกันมาว่า การสูบบุหรี่นั้นเป็นการทำลายสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะต่อตัวผู้สูบบุหรี่เองหรือแม้แต่คนรอบข้าง การสูบบุหรี่ยังเป็นสาเหตุทำให้เป็นโรคสมองฝ่อและเป็นสาเหตุของโรค อัลไซเมอร์อีกด้วย 2.รับประทานอาหารมากเกิน 4 รับประทานของหวานมากเกินไป การที่เรารับประทานของหวานมากจนเกินไป จะทำให้การดูดซึมโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ถูกดูดซึมได้ไม่สะดวก เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง 5 มลภาวะต่างๆ ทราบหรือไม่ว่าสมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นไม่บริสุทธิ์หรือมลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมอง ต่ำ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง 6 การอดนอน การพักผ่อนที่เพียงพอจำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาสมอง การนอนหลับจะช่วยให้สมองได้พักผ่อน แม้กระทั่งการงีบหลับระหว่างวันสัก 10 นาที ก็ช่วยให้คุณรู้สึกประปรี้กระเปร่าขึ้นได้เช่นกัน 7 การนอนคลุมโปง การนอนคลุมโปงเป็นการทำให้สมองขาดออกซิเจน เมื่อสมองขาดออกซิเจน ก็จะมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง 8 ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย ในขณะที่ร่างกายกำลังป่วยอยู่นั้น การพยายามใช้สมองในช่วงนี้กลับยิ่งเป็นการทำลายสมองไปในตัว เพราะฉะนั้นควรพักผ่อนให้หายดีเสียก่อน 9 ขาดการใช้ความคิด การใช้ความคิดเป็นการบำรุงสมองที่ดี ดังนั้น เราจึงควรฝึกคิดและหัดใช้ความคิดอยู่เป็นประจำ มิฉะนั้น สมองจะฝ่อได้ 10 เป็นคนไม่ค่อยพูด การพูดหรือแสดงความคิดเห็นก็เป็นการใช้สมองเช่นกัน เพราะทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง

10 อันดับคณะที่เด็กซิ่วออกเยอะที่สุด ลำดับ 10-1 ลำดับ 1-10 แต่ละปีของการสอบเข้ามหาวิทยาลัย จะมีเด็กซิ่วกลับเข้ามาสอบแข่งขันอีกครั้ง อาจเป็นเพราะคณะที่เด็กซิ่วเรียนอยู่ยังไม่น่าพึงพอใจ จึงอยากลองสอบอีกครั้ง ทีมงาน TOptenthailand.com จึงหามาให้ได้แฟนๆได้ชมกันใน "10 อันดับคณะที่เด็กซิ่วออกเยอะที่สุด " 1 คณะวิทยาศาสตร์ ลำดับ 1 คณะวิทยาศาสตร์ (บริสุทธิ์ เคมี ชีวะ จุล) 2 คณะเทคนิคการแพทย์ อันดับที่ 2 ได้แก่ คณะเทคนิคการแพทย์ (ไม่รวมกายภาพบำบัด) 3 คณะวิศวะกรรมศาสตร์ อันดับที่ 3 ได้แก่ คณะวิศวะกรรมศาสตร์ 4 มนุษยศาสตร์ อันดับที่ 4 ได้แก่ มนุษยศาสตร์ 5 รัฐศาสตร์ อันดับที่ 5 ได้แก่ รัฐศาสตร์ 6 บริหาร(บัญชี) อันดับที่ 6 ได้แก่ บริหาร(บัญชี) 7 พยาบาล อันดับที่ 7 ได้แก่ พยาบาล 8 เภสัช อันดับที่ 8 ได้แก่ เภสัช 9 นิเทศ อันดับที่ 9 ได้แก่ นิเทศ 10 ศิลปะศาสตร์ อันดับที่ 10 ได้แก่ ศิลปะศาสตร์

วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555

10 อันดับสวนน้ำอลังการ ที่สุดในโลก
 
ทีมงาน Toptenthailand.com ขอเอาใจคนชอบเล่นน้ำกันบ้างใน "10 อันดับสวนน้ำอลังการ ที่สุดในโลก "
1Chimelong Water Park, Guangzhou ประเทศ China
ครองตำแหน่งสวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ ณ ปัจจุบันค่ะ Chimelong ตั้งอยู่ติดกับสวนสนุกขนาดใหญ่ ซึ่งทั้ง 2 แห่งนี้รวมพื้นที่แล้วมีมากกว่า 60 เฮคเตอร์ ใหญ่สุดๆแถมยังมีเครื่องเล่นสุดเจ๋งที่เรียกว่า Tornado slide เป็นสไลเดอร์ที่ให้ประสบการณ์การถูกพายุทอร์นาโดดูดเข้าไปค่ะ คุณจะค่อยๆถูกดูดลงไปในอุโมงค์ และความเร็วจะเพิ่มขึ้นๆๆไปเรื่อยๆ ตื่นเต้นดีนักเชียว แถมยังมีเครื่องเล่นเยอะแยะ ที่การันตีความไฮเทคและสนุกสุดๆไว้คอยให้บริการเด็กๆและครอบครัวทั้งหลายค่ะ
 
 
 
2Siam Park, Tenerife, The Canary Islands
เห็นชื่อแล้วคงจะ งง Siam Park แต่ดันไปอยู่ที่ Canary Islands (เกาะในทวีปแอฟริกา) ใช่มั้ยล่ะ concept สุดแปลกของสวนน้ำนี้ก็คือ การจำลองประเทศไทยให้เป็นสวนน้ำใน Canary Islands ที่สุดจะสวยสวยสุดอยู่แล้ว แถมตอนเปิดงานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงให้เกียรติเป็นประธานเปิดงานอีกด้วยค่ะ สวนน้ำ Siam Park นั้นใหญ่มากครอบคลุมพื้นที่ถึง 18.5 เฮคเตอร์ และแม่น้ำที่สร้างขึ้นในสวนน้ำ แม้น้ำสวัสดี ยังถือเป็นแม่น้ำในสวนน้ำที่ยาวที่สุดในโลกอีกด้วย อาหารในสวนน้ำแห่งนี้เป็นอาหารไทย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแหละว่าคนต่างประเทศเค้ารักประเทศไทยเราขนาดไหน
 
 
 
3Wet n’ Wild Water World, Gold Coast ประเทศ Australia
1 ในสวนน้ำมากมายของเมือง Gold Coast แต่ที่นี่ฮิตมาก อาจเป็นเพราะใกล้กับ Warner Brothers Movie World Park ด้วย คนจึงมาเที่ยวที่นี่เยอะแยะมากมายไม่ขาดสาย มีเครื่องเล่นกว่า 15 เครื่อง และสระน้ำอีก 4 สระค่ะ ที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ Aqualoop, Flowrider, Zip Line และ Sky Coaste
 
 
 
4Las Cascadas Water Park, Aguadilla, Puerto Rico
สวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดในน่านน้ำทะเลมรกต Caribbean ด้วยอากาศร้อนชื้น ก็คงจะทำอะไรอื่นเป็นไม่ได้ นอกจากเล่นน้ำใช่มั้ยล่ะ Las Cascadas Water Park จึงฮิตตลอดปี ตลอดศก ตลอดเวลา ไม่มีวันไหนคนไม่เยอะ บรรยากาศจึงครึกครื้นสุดๆ คล้ายกับเล่นน้ำในคาริบเบียน แต่มีเครื่องเล่นมาให้คุณเพิ่มความสนุกเข้ามาค่ะ อย่าลืมพกอูคูเลเล่ไปกันนะ
 
 
 
5Super Aqua Club, Montreal ประเทศ Canada
สวนน้ำแห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็นสวนน้ำรุ่นพี่ เพราะเปิดมานานกว่า 25 ปีแล้ว แต่ความเก่าของ Super Aqua Club ไม่ได้ตกลงเลยค่ะ ยังถือเป็น Tourist Attraction ของประเทศแคนาดาอยู่จนถึงทุกวันนี้ คงเพราะว่าทางสวนน้ำมีการปรับปรุงและทำตัวให้ทันสมัยอยู่เสมอๆ เช่นล่าสุด เปิดตัวสไลด์เดอร์ใหม่ถึง 6 ตัวเลย ที่สวนน้ำแห่งนี้มีเครื่องเล่นมากถึง 40 กว่าเครื่องเล่น แถมยังติดทะเลรอบๆ Lake of Two Mountains อีกด้วยนะคะ วันเดียวไม่พอแน่ๆ
 
 
 
6Waterland, Thessaloniki ประเทศ Greece
1 ในสวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรปค่ะ ถ้าได้ไปยุโรปช่วงซัมเมอร์ ใครๆก็ต้องแวะไป Waterland ให้ได้ โดยเฉพาะของเล่นชิ้นใหม่ที่เปิดล่าสุด Pirate Island เด็กๆกรี๊ดๆอยากไป เพราะอยากไปเป็นกัปตันแจ๊ค สแปร์โรว์ ส่วนอื่นๆก็จะเป็นสไลด์เดอร์ใหญ่ยักษ์ สระน้ำแบบมีคลื่น หรือแม่น้ำไหลเชี่ยว ให้เด็กๆและทุกคนได้เล่นสนุกจนลืมเวลากันได้ง่ายๆเลยค่ะ Waterland เปิดเดือนพฤษภาคม – กันยายนทุกปี
 
 
 
7Ocean Park ประเทศ Hong Kong
ถ้าพูดถึงสวนน้ำหรือสวนสนุก จะลืม Ocean Park ไปได้อย่างไรหนอ ถึงแม้จะไม่ใช่สวนน้ำโดยตรง แต่ด้วยเครื่องเล่นและไฮไลท์ต่างๆ เช่น cable car หรือการจัดแสดงโชว์เกี่ยวกับสัตว์น้ำ เป็นต้น ใกล้ๆบ้านเรานี่เอง ใครๆเบื่อก็ไปเที่ยว Ocean Park แก้เซ็งได้ง่ายๆเลยนะ (แอบกระซิบบอก จำนวนคนมาเที่ยว Ocean Park ในแต่ละปีมีมากถึง 5 ล้านคนเชียวนะ!)
 
 
 
8Blizzard Beach, Disney World, Florida ประเทศ USA
สวนน้ำหิมะแห่งแรกและแห่งเดียวของโลกค่ะ ถึงแม้จะไม่ใช่หิมะจริง แต่ก็ตกแต่งได้เหมือนทีเดียวเชียว เห็นแล้วก็คลายร้อนได้ระดับหนึ่งเลย ไฮไลท์ของที่นี่คือ Summit Plummet หรือสไลด์เดอร์ทั้งสูงทั้งชัน ระหว่างที่ลงมาตามสสไลด์เดอร์นั้น ความเร็วอยู่ที่ 55 ไมล์ต่อชั่วโมง…เค้าว่าเสียวกว่าเล่นรถไฟเหาะอี งี้ต้องไปลอง!
 
 
 
9Beach Park, Aquiraz ประเทศ Brazil
สไลด์เดอร์ของที่สวนน้ำ Beach Park แห่งนี้ ดำรงตำแหน่งสไลด์เดอร์ที่สูงที่สุดในโลกค่ะ เพราะสูงถึง 41 เมตร จะเล่นทีก็เสียวท้องไม่ใช่เล่น แต่การันตีความมันส์และไม่มีที่ไหนเหมือนค่ะ แถม Beach Park ยังได้รับรางวัลมากมายการันตีความสนุกสุดๆของทุกเครื่องเล่น
 
 
 
10Aqua Blu Park, Sharm El Sheik ประเทศ Egypt
สวนน้ำที่มีเครื่องเล่นมากถึง 20 เครื่องด้วยกัน พลาดไม่ได้ที่ต้องลองคือ Kamikaze และ Space Hole
 
 
10 อันดับ สิ่งสกปรกที่ถูกใช้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน
 
หากนึกถึงสิ่งสกปรกรอบๆตัว หลายคนคงชี้ไปยังห้องน้ำ หรือไม่ก็ลูกบิดที่แสนจะไกลตัวซะเหลือเกิน แต่ที่แท้จริงแล้วมันใกล้มากกว่านั้น หรืออาจเป็นเพราะมันแนบชิดสนิทติดตัวซะจนเรามองข้ามมันไป มาดูกันว่า “รายงาน 10 อันดับสิ่งสกปรกที่ถูกใช้บ่อยมากที่สุด” นั้นมีอะไรบ้าง
10ฟองน้ำล้างจาน
ด้วยวัสดุและรูป ลักษณ์ของมันที่เต็มไปด้วยรูพรุนที่สามารถใหน้ำ อากาศ ออกซิเจน เศษอาหารเข้าไปอาศัยอยู่ จึงเป็นแหล่งชุมชนแออัดของเหล่าเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี วิธีทำความสะอาดง่ายๆก็คือ เอาไปต้มหรือให้ความร้อนผ่านไมโครเวฟซัก 60 วินาที
 
 
 
9ซิ้งค์อ่างล้างจาน
เห็นสะอาดอย่างนี้ก็ใช่ว่าจะสะอาด ถึงจะไม่ได้ใช้บ่อยเท่าอย่างอื่น แต่มันเป็นบริเวณที่สกปรกที่สุดในบ้าน ซึ่งแต่ละตารางนิ้วนั้นมีเชื้อโรคอาศัยอยู่ถึง 500,000 ตัว วิธีทำความสะอาดขจัดคราบที่คู่ควรกับตัวเลขห้าแสนนี้ ก็คือ ใช้โซดาไฟหรือน้ำส้มสายชูราดทำความสะอาดมันซะ แล้วตามด้วยน้ำเปล่าตามไปอีกที
 
 
 
8อ่างอาบน้ำ
อ่างอาบน้ำเป็นรังเพาะเชื้อโรคชั้นดีที่หลายคนมองข้ามไป รู้อย่างนั้นแล้วเราจึงควรทำความสะอาดมันสัปดาห์ละครั้งเป็นอย่างน้อย
 
 
 
7รีโมททีวี
อุปกรณ์บันเทิงประจำ ครัวเรือนที่เรามักจะลืมทำความสะอาดมัน ทั้งๆ ที่เราออกจะหยิบสอยใช้มันออกจะบ่อย ทำความสะอาดบ้านครั้งหน้าก็อย่าลืมหยิบรีโมทไปเช็ดถูกันบ้างนะ
 
 
 
6ตะกร้าช้อปปิ้ง
ห้างสรรพสินค้ามีทุกสิ่งให้คุณเลือกสรร ฉันใดก็ฉันนั้น ตะกร้าช้อปปิ้งในห้างก็มีทุกสิ่งให้เชื้อโรคเลือกที่จะอยู่เช่นกัน ไม่ว่าจะมาจากสินค้าที่อยู่ในห้างเอง เช่น ของสด ของแห้ง สารเคมี หรือมาจากมือของท่านผู้มีอุปการะคุณทุกท่าน ที่พึ่งจับราวบันไดเลื่อน หรือพึ่งออกมาจากห้องน้ำห้างมา
 
 
 
5ฝาที่นั่งชักโครก
ความจริงมันน่าจะสกปรกได้มากกว่านี้รึเปล่า แต่รู้หรือไม่ว่าฝาที่นั่งชักโครกนั้นมีการออกแบบวัสดุและพื้นผิว ให้ง่ายต่อการทำความสะอาดและยากที่เชื้อโรคจะอาศัยอยู่ แถมเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญ ในการทำความสะอาดอยู่เสมอ (ไม่เอื้ออำนวยขนาดนั้นก็ยังติด 1 ใน 10) โดยรายงานระบุว่า ทุกตารางนิ้วบนฝานั่งชักโครกมีเชื้อโรคอาศัยอยู่ถึง 295 ตัว
 
 
 
4โทรศัพท์มือถือ
โทรศัพท์มือถือ เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ราคาแพงสำหรับเชื้อโรคเลยก็ว่าได้ ด้วยความเป็นพื้นที่สมบูรณ์ เพียบพร้อมไปด้วยปัจจัยความเจริญของเชื้อโรค ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิอุ่นๆ เหมือนร่างกายมนุษย์ที่เชื้อโรคชอบ พร้อมซอกซอยร่องหลืบง่ายต่อการกบดานหลบหนี พร้อมพรั่งด้วยโภชนาการและอาหารจากน้ำลายและขี้ไคลมนุษย์ ถ้าโทรศัพท์มีชีวิตเราอาจต้องพามันไปโรงพยาบาลเพื่อฉีดยาแทนที่จะไปมาบุญครองเพื่อไปซ่อมมันก็เป็นได้
 
 
 
3คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์
คนติดคอม ติดเนทหลายๆคน คงคุ้นชินกับพฤติกรรมการกินขนมขบเคี้ยว หรือแม้กระทั่งกินอาหารมื้อหลักหน้าจอคอมพ์ หรือแม้กระทั่งสาวๆเองที่ชอบหวีผมแต่งหน้าบนโต๊ะทำงาน เวลาว่างก็เม้าท์พ่นไฟแชทหน้าเวบแคม รู้หรือไม่ ว่าคีย์บอร์ดนั้นเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคชั้นดี โดยเฉพาะเศษอาหาร ผิวหนัง เหงื่อไคลต่างๆ ที่ผู้ใช้คอมทำตกลงไปในคีย์บอร์ดแล้วไม่ค่อยให้ความสนใจ เนื่องจากเพราะมันตกลงไปในร่อง ทำให้ยากต่อการมองเห็นว่าสกปรกและยากต่อการทำความสะอาด เป็นที่มาว่าทำไมจึงไม่มีใครสนใจ จะทำความสะอาดกันเท่าไหร่นัก จึงทำให้คีย์บอร์ดกลายเป็นแหล่งหมักหมมเพาะพันธุ์เชื้อโรคชั้นดี รายงานระบุว่าคีย์บอร์ดที่ได้รับการสำรวจนั้นสกปรกกว่าฝานั่งชักโครกถึง 40 เท่า แต่ถึงขนาดต้องใช้วิกซอลเข้มข้น 40 เท่าราดคีย์บอร์ดเพื่อทำความสะอาดด้วยรึเปล่ารายงานไม่ได้ระบุไว้
 
 
 
2สวิตช์เปิด/ปิดไฟ
“สุขภาพวันนี้…ต้องเล่นกับไฟ” วัตถุที่มนุษย์สัมผัสบ่อยมากเท่าไหร่ เชื้อโรคก็ชอบตามไปอยู่มากเท่านั้น โดยเฉพาะปุ่มสวิทปิดเปิดไฟที่ต้องกดกันอยู่ทุกวัน ผู้เชี่ยวชาญเผยทุกๆ ตารางนิ้วบนสวิตช์ไฟที่เราเอานิ้วไปโดน เชื้อโรคสามารถย้ายสำมโนครัวตามติดมือไปได้ถึง 217 ตัว
 
 
 
1เงิน ได้แก่ ธนบัตร เหรียญ
แบงค์ที่เราหยิบจ่ายซื้อของกันอยู่ทุกวันนี้ มีเชื้อโรคอยู่ประมาณ 135,000 ตัว ถึงจะเชื่อว่าใครๆก็อยากมีเงินเยอะๆ จะได้รวยๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องสะสมเชื้อโรคไปตามความรวยด้วยนะ
 
 
10 โรคร้าย สุดอันตรายที่ผู้หญิงควรระวัง
 
ทีมงาน Toptenthailand.com ขอเอาใจแฟนๆที่เป็นผู้หญืงและรักสุขภาพกันบ้างใน "10 โรคร้าย สุดอันตรายที่ผู้หญิงควรระวัง "
1โรคหัวใจ และหลอดเลือด
หลายคนเข้าใจว่า มะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งเต้านม เป็นโรคที่ทำให้ผู้หญิงทั่วโลกเสียชีวิตมากที่สุด แต่จริง ๆ แล้ว "โรคหัวใจและหลอดเลือด" ต่างหากที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของผู้หญิงทั่วโลก และจากสถิติพบว่า อัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้หญิงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ต่างกับผู้ชายที่ลดลง ซึ่งอาจเป็นเพราะผู้หญิงเข้ารับการตรวจสุขภาพน้อยกว่าผู้ชาย และการตรวจวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจในผู้หญิงก็ให้ผลการตรวจได้ไม่ชัดเจนแจ่มแจ้งเท่ากับผู้ชายด้วย ป้องกันอย่างไรดี : อย่าสูบบุหรี่ พยายามรักษาน้ำหนักตัว และคอเลสเตอรอลในร่างกายให้อยู่ในระดับปกติ ด้วยการออกกำลังกาย และลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี สำหรับครอบครัวไหนที่มีประวัติคนในครอบครัวป่วยด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด, เบาหวาน หรือ ความดันโลหิตสูง ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบด้วย
 
 
 
2โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
นี่คือโรคที่คร่าชีวิตผู้หญิงทั่วโลกเป็นอันดับต้น ๆ เช่นกัน และสำหรับหญิงไทย นี่คือโรคร้ายที่เป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 เลยทีเดียว รู้ไหมว่า ผู้หญิงอย่างเรา ๆ เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง มากกว่ามะเร็งเต้านมถึง 2 เท่า แต่ทว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่รู้จักอาการของโรคนี้ และไม่เชื่อว่า โรคหลอดเลือดสมองเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกช่วงอายุ สำหรับโรคหลอดเลือดสมองนั้น ประกอบไปด้วย 3 โรคหลัก ๆ คือ เส้นเลือดสมองตีบ เส้นเลือดสมองแตก และเส้นเลือดสมองอุดตัน โดยจะพบผู้ป่วยเส้นเลือดสมองตีบมากที่สุด ทั้งนี้ ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้น หากในครอบครัวมีประวัติเคยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ไขมันในเลือดสูง หรือเป็นโรคหัวใจ เพราะฉะนั้น หากใครมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง แขนขาอ่อนแรง ปากเบี้ยว ตามัว อย่านิ่งนอนใจ ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะหากถึงมือแพทย์ช้า มีสิทธิ์เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ได้เลยทีเดียว ป้องกันอย่างไรดี : ออกกำลังกายเป็นประจำ อย่าสูบบุหรี่ รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วนเกินไป ลดการทานอาหารที่มีไขมันและเค็มจัด ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี หากป่วยเป็นเบาหวาน โรคหัวใจ ภาวะไขมันในเลือดสูง ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อลดโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
 
 
 
3ภาวะสมองเสื่อม
ภัยเงียบใกล้ตัวที่เกิดขึ้นจากความสามารถในการทำงานของสมองลดลง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความจำ ความเข้าใจ การใช้เหตุผล ซึ่งภาวะสมองเสื่อมนี้ เป็นอาการแสดงของหลาย ๆ โรค ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะมีสาเหตุมาจากโรคอัลไซเมอร์ และเป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้หญิงสูงอายุ โดยพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาวะขาดฮอร์โมนเพศในวัยหมดประจำเดือน ป้องกันอย่างไรดี : จริง ๆ แล้วยังไม่มีวิธีป้องกันและรักษาโรคนี้อย่างชัดเจน เช่นนั้นแล้ว ทางที่ดีคือการกระตุ้นให้สมองได้ใช้งานอยู่เสมอ โดยอาจจะเล่นคอร์สเวิร์ด หรือเล่นเกมปริศนา ก็จะช่วยทำให้สมองได้ทำงานมากขึ้น นอกจากนั้นแล้ว การรับประทานอาหารจำพวกผักใบเขียวและน้ำมันปลา ก็ช่วยได้
 
 
 
4มะเร็งปอด
จากการสำรวจผู้หญิงทั่วโลกในช่วงไม่นานมานี้ พบว่า มะเร็งปอดเป็นโรคมะเร็งลำดับที่ 5 ที่ผู้หญิงทั่วโลกต้องเผชิญ และอุบัติการณ์โรคกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเพศหญิง ซึ่งสาเหตุเป็นเพราะในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ผู้หญิงทั่วโลกสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นมากนั่นเอง และผู้หญิงจะไวต่อสารก่อมะเร็งมากกว่าผู้ชายด้วย ป้องกันอย่างไรดี : กว่า 90% ของผู้ป่วยมะเร็งปอดเกิดจากการสูบบุหรี่ ดังนั้น หยุดสูบบุหรี่ซะ และหลีกเลี่ยงการรับควันบุหรี่ ซึ่งเป็นบุหรี่มือสอง และนอกจากการสูบบุหรี่แล้ว การทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม และได้สูดดมแร่ใยหิน หรือแอสเบสตอส ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงของโรคนี้
 
 
 
5มะเร็งเต้านม
โรคมะเร็งเต้านม เป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่พบได้บ่อยมากในผู้หญิงอายุระหว่าง 25-64 ปี สำหรับในประเทศไทย พบหญิงไทยป่วยมะเร็งเต้านมมากเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งปากมดลูก แต่เมื่อปี พ.ศ.2553 ที่ผ่านมา สถิติของหญิงไทยที่ป่วยมะเร็งเต้านมแซงหน้ามะเร็งปากมดลูกไปแล้ว แต่อัตราการเสียชีวิตยังน้อยกว่ามะเร็งปากมดลูก ป้องกันอย่างไรดี : ความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านมจะสูงขึ้น หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคนี้ ดังนั้น เราจึงแนะนำให้คุณสาว ๆ ตรวจเต้านมด้วยตัวเองทุก ๆ เดือน หากพบความผิดปกติ คือ มีก้อนที่เต้านม รูปร่างเต้านมเปลี่ยนแปลง หัวนมหดตัว คัน แดงผิดปกติ มีเลือดออก ให้ไปรับการตรวจจากแพทย์ และอย่าลืมไปให้แพทย์ตรวจปีละครั้ง
 
 
 
6โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (chronic obstructive pulmonary disease : COPD)
เป็นโรคระบบทางเดินหายใจที่พบได้บ่อยมาก เมื่อเป็นแล้วจะทำให้หายใจลำบาก หอบเหนื่อยง่าย โดยพบว่า ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง 3 ใน 4 เกิดจากการสูบบุหรี่ ส่วนสาเหตุอื่น ๆ เกิดจากมลพิษทางอากาศ การติดเชื้อที่ทางเดินหายใจ รวมทั้งการประกอบอาชีพที่ต้องสูดเอาฝุ่นและสารเคมีเข้าไปในร่างกาย ป้องกันอย่างไรดี : แน่นอนค่ะ คุณต้องหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ แต่หากปอดของคุณมีปัญหาอยู่แล้ว แนะนำให้ไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี เพราะหากติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ขึ้นมาก็อาจทำร้ายปอดได้ค่ะ
 
 
 
7ไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในช่วงระยะเวลาหนึ่ง อาการทั่วไปคล้าย ๆ กับไข้หวัดธรรมดา แต่ที่สังเกตได้ชัดคือ ผู้ป่วยจะมีไข้สูงมาก และเจ็บคอ ซึ่งหากไม่รีบรักษา อาการจะหนักขึ้นจนทำให้ปอดอักเสบ เกิดการติดเชื้อในสมองและหัวใจ ทำให้เสียชีวิตได้เลย ทั้งนี้ กลุ่มเสี่ยงก็คือ เด็กเล็ก คนที่อายุ 65 ปีขึ้นไป รวมทั้งหญิงตั้งครรภ์ ป้องกันอย่างไรดี : หากอยู่ในช่วงที่มีการระบาดของโรค ควรสวมหน้ากากอนามัย รักษาสุขอนามัยด้วยการล้างมือบ่อย ๆ และรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงจะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคได้
 
 
 
8โรคเบาหวาน
เมื่อร่างกายไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติได้ นั่นจึงทำให้คนเป็นเบาหวาน ซึ่งเบาหวานก็มีทั้งเบาหวานประเภทที่ 1 เบาหวานประเภทที่ 2 และเบาหวานในหญิงตั้งครรภ์ แต่โดยทั่วไปแล้วจะพบผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 2 (อินซูลินทำงานไปเป็นปกติ) มากที่สุด และผลของมันร้ายแรงถึงกระทั่งทำให้ตาบอด ไตวาย เป็นโรคหัวใจ และหลอดเลือดในสมองได้เลย ป้องกันอย่างไรดี : ต้องควบคุมให้ระดับน้ำตาลในเลือดเป็นปกติ โดยการควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทานอาหารที่มีเส้นใยมาก ๆ ทำจิตใจให้ร่าเริงเบิกบาน อย่าให้เครียดหรือวิตกกังวล และหากมีญาติพี่น้องเป็นโรคเบาหวานต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
 
 
 
9โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก
เชื่อไหมว่า โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มักพบได้บ่อยในผู้หญิง และเป็นมะเร็งที่ทำให้คนเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของทั่วโลก ที่สำคัญมักพบในประเทศที่มีการแข่งขันกันสูง เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ซึ่งอาจเป็นเพราะชีวิตที่เร่งรีบ ทำให้คนต้องรีบรับประทานอาหาร โดยไม่คำนึงถึงคุณค่าของอาหารที่บริโภคเข้าไป อีกทั้งยังไม่มีเวลาเข้าห้องน้ำขับถ่าย และยังเกิดความเครียดสะสม ส่งผลต่อลำไส้ได้ด้วย ป้องกันอย่างไรดี : ควบคุมน้ำหนักอย่าปล่อยให้ตัวเองอ้วน หรือทำพฤติกรรมที่จะทำให้เกิดความอ้วน และหยุดสูบบุหรี่ด้วย ทั้งนี้ มีการศึกษาพบว่า ผู้ที่ออกกำลังกายและรักษาหุ่นไม่ให้อ้วนจะสามารถป้องกันโรคนี้ได้ดีขึ้นถึง 75% เลยทีเดียว
 
 
 
10มะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูก ถือเป็นโรคร้ายอันดับแรกของสาวไทย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย อีกทั้งยังมีคู่นอนหลายคน และไม่รู้จักป้องกันตนเอง ทำให้ติดโรคได้ง่าย ๆ ทั้งนี้ ความน่ากลัวของมันอยู่ที่บางครั้งอาจไม่แสดงอาการอะไรเลยนานถึง 15 ปี กว่าจะทราบว่าตัวเองเป็นมะเร็งปากมดลูก โรคก็ลุกลามถึงระยะหลังที่ 3 ที่ 4 ซึ่งรักษาได้ยากแล้ว ป้องกันอย่างไรดี : ใช้ถุงยางอนามัย เมื่อมีเพศสัมพันธ์ เข้ารับการตรวจภายในทุกปี โดยเฉพาะผู้หญิงที่เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม ส่วนสาวโสดที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ควรตรวจเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไป ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก ซึ่งควรจะฉีดก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก