วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555


Ma journée
Le matin, je me lève à 5 heures et je me brosse les dents, je prends ma douche et je m’habille. Je prends mon petit déjeuner.  
     A midi, je déjeune à la cantine avec mes copines. Je vais à maison à 17 heures et demie.
     Le soir , nous dînons en famille et mes parents et moi  regardons la télévision . Puis, je me coche à 22 heures. Voila !!  c’est ma journée

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ก้าวใหม่ของศาลมุสลิมใน "มาเลเซีย" รัฐบาลแต่งตั้ง "ผู้พิพากษาสตรี" เป็นครั้งแรก


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กลุ่ม "ซิสเตอร์อินอิสลาม" (เอสไอเอส) ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่เรียกร้องสิทธิสตรีมุสลิมในประเทศมาเลเซีย ได้ออกมาแสดงความเห็นด้วยกับรัฐบาลมาเลเซีย ที่อนุญาตให้สตรีสามารถทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษาได้ ในศาล "ชาเรีย" หรือศาลสำหรับชาวมุสลิม  โดยผู้แทนทางกฏหมายของกลุ่มเอสไอเอส กล่าวว่า ผู้พิพากษาที่เป็นชายมักไม่มีความรู้สึกร่วมต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการพิพากษา และจะเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกรณีที่เป็นเรื่องความคับข้องใจของผู้หญิง หลังจากที่ได้ทำการเรียกร้องในประเด็นนี้มาตั้งแต่ช่วงปลายยุค 1990 เพื่อให้มีการปฏิรูประบบกฏหมายอิสลาม โดยกล่าวว่าถึงแม้จะมีระบบป้องกันทางกฏหมายสำหรับสตรีแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้รับการดำเนินการให้เกิดประโยชน์สูงสุด และมีความยุติธรรมเพียงพอ และแม้ว่าจะมีการแต่งตั้งเพียงสองตำแหน่งที่เมืองปุตราจายา และกรุงกัวลาลัมเปอร์ก็ตาม และอาจไม่สามารถตัดสินคดีได้ทั้งหมด แต่นี่ก็ถือเป็นก้าวย่างที่สำคัญอย่างยิ่งต่อกระบวนการยุติธรรมในประเทศมาเลเซีย

โดยปกติแล้วมาเลเซียจะมีระบบศาลอยู่สองประเภทคือ ศาลสำหรับประชาชนที่ไม่ใช่ชาวมุสลิม และศาลสำหรับชาวมุสลิม ซึ่งในศาลปกตินั้น มีการแต่งตั้งผู้พิพากษาสตรีมาเป็นเวลานานแล้ว เพื่อตัดสินคดีทั่วไป ในขณะที่ศาลของชาวมุสลิม จะตัดสินคดีที่เกี่ยวข้องกับกฏหมายครอบครัว โดยจะครอบคลุมคดีความที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เช่น การหย่าร้าง การมีภรรยาหรือสามีหลายคน สิทธิในการดูแลเด็ก เป็นต้น

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555


คาถาป้องกันเส้นเลือดแตกในสมองให้กินกล้วยหอมประจำวันละ 3 มื้อ


หมอเมืองผู้ดีอังกฤษและเมืองมะกะโรนี บอกแนะนำให้กินกล้วยหอมมื้อละ 1 ลูก วันละ 3 มื้อ จะช่วยป้องกันโรคเลือดออกในสมอง อันเป็นโรคที่อันตราย ทำให้เกิดความพิการ หรือเสียชีวิตได้ถึงร้อยละ 21


วารสารวิชาการ“วิทยาลัยแพทย์โรคหัวใจอเมริกัน” รายงานว่า แพทย์มหาวิทยาลัยวอร์วิคของอังกฤษ และมหาวิทยาลัยเนเปิล แห่งอิตาลี ได้ร่วมกันศึกษา ทราบว่า หากกินกล้วยหอมวันละ 3 ลูก จะทำให้ร่างกายได้รับโปแตสเซียม วันละ 1,600 มิลลิกรัม จะลดโอกาสที่จะเกิดเลือดออกในสมอง ลงได้มากกว่า 1 ใน 5

กล้วยหอมแต่ละลูกจะมีโปแตสเซียม 500 มิลลิกรัม ซึ่งมีสรรพคุณลดความดันโลหิต และรักษาดุลของของเหลวในตัว หากร่างกายขาดโปแตสเซียมจะทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ กระวนกระวาย คลื่นเหียนอาเจียนและท้องร่วง

นักวิจัยกล่าวว่า หากคนเรากินอาหารที่อุดมด้วยโปแตสเซียม เช่น ถั่ว ถั่วแขกชนิดเม็ดแดงและเหลือง นม ปลา และผักโขม ลดการกินเกลือให้น้อยลง จะป้องกันไม่ให้เป็นโรคเลือดออกในสมองกันได้ ปีหนึ่งๆ ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน.

He protects the blood vessels in the brain to eat a banana every day for threemeals.

Doctor who is British and the macaroni. I recommend eating a banana a day for three meals a day will help prevent bleeding in the brain. A dangerous disease. Cause of disability. The death toll has reached 21 percent.


Journal, "College of Physicians, American Heart," the doctor reported that the University of Warwick in England. And University of Naples in Italy, with the note that you eat a banana a day, 3 will cause the body to get over potassium at 1600 mg to reduce the chance of bleeding in the brain by more than one in five.

Banana, each child will have over 500 milligrams of potassium, which claims to lower blood pressure. The balance of fluid in the body. If the potassium deficiency of potassium can cause irregular heartbeat, restlessness, nausea, vomiting and diarrhea.

The researchers say. If we eat foods rich in potassium, such as peas, beans, potassium tablets, red and yellow fish, milk and vegetables to eat less salt. To prevent bleeding in the brain as well as each year more than 1 million people.

สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

         
         อ่าวมะนาว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งใน อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อยู่ห่างจากตัวเมืองประจวบคีรีขันธ์ไปทางทิศใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร บริเวณอ่าวมะนาวมีทิวทัศน์สวยงาม ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าไปพักผ่อนหย่อนใจได้ และมีบริการบ้านพักสำหรับนักท่องเที่ยว อ่าวมะนาวอยู่ในการควบคุมดูแลของกองบิน 5 และเคยเป็นยุทธภูมิในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2



เขาตาม่องล่าย


       เขาตาม่องล่ายถูกจัดให้เป็น วนอุทยาน เขตป่าสงวนแห่งชาติ ถึงจะมีพื้นที่ไม่กว้างขวางมากนัก แต่ก็มีเอกลักษณ์เหมาะสำหรับท่องเที่ยวผจญภัย เพราะเป็นภูเขามีหน้าผาสูงชัน

สัตว์ป่า ที่พบเห็นบริเวณวนอุทยานเขาตาม่องล่าย

1.เลียงผา

2.หมูป่า

3.กระจง

4.อีเห็น

5.เสือปลา

6.ไก่ป่า



        หว้ากอ เป็นชื่อหมู่บ้าน ในตำบลคลองวาฬ อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ห่างจากตัวเมืองประจวบคีรีขันธ์ประมาณ 10 กิโลเมตร สถานที่มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ของวงการวิทยาศาสตร์ของไทย เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงคำนวณไว้ล่วงหน้าว่าจะมองเห็นสุริยุปราคา เต็มดวงที่หว้ากอแห่งนี้ และได้เสด็จทอดพระเนตรพร้อมด้วยนักวิทยาศาสตร์ และทูตานทูตชาวต่างประเทศ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 จากตัวเมืองเดินทางมาทางทิศใต้ 12 กิโลเมตร ตามถนนเพชรเกษมถึง กม.ที่ 335-336 จะมีทางแยกเข้าหว้ากอทางด้านซ้ายมือ

10 อันดับความจริงเกี่ยวกับควีนเอลิซาเบธที่ 2
 
หลังจากประเทศอังกฤษได้มีการจัดขบวนเรือพระราชพิธีกว่าพันลำ เพื่อเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบ 60 ปี ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ไปเมื่อวันที่ 3 มิถุนายนที่ผ่านมา พระนามของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นที่สนใจของประชาชนทั่วโลกไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะทั่วโลกนั้น มีพระราชาหรือพระราชินีเพียงน้อยพระองค์นักที่ครองราชย์ครบ 60 ปีเช่นนี้ ทีมงาน toptenthailand ขอนำเรื่องราวเกี่ยวกับสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 มาฝากกัน ให้ได้รู้จักอีกหนึ่งพระมหากษัตริย์ผู้ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลกพระองค์นี้ ในหัวข้อ "10 อันดับความจริงเกี่ยวกับควีนเอลิซาเบธที่ 2"
1ครองราชย์
ตลอดระยะเวลาการครองราชย์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 มีพระมหากษัตริย์ทั่วโลกเพียง 3 พระองค์เท่านั้น ที่ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี ซึ่งได้แก่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชของไทย (ครองราชย์ครบ 60 ปี เมื่อปี 2549), องค์สุลต่านแห่งยะโฮร์ มาเลเซีย (ครองราชย์ครบ 60 ปี เมื่อปี 2498 และสวรรคตแล้ว), และสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ ฮิโรฮิโตะ (ครองราชย์ครบ 60 ปี เมื่อปี 2529 และสวรรคตแล้ว)
 
 
 
2ลำดับ
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 40 ของอังกฤษ นับตั้งแต่พระเจ้าวิลเลี่ยมที่ 1 แห่งอังกฤษทรงครองราชย์
 
 
 
3ยาวนาน
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เป็นพระมหากษัตริย์อังกฤษที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจากสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย พระมหากษัตริย์อังกฤษที่ครองราชย์ยาวนานที่สุด (63 ปี)
 
 
 
4สุนัข
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงมีสุนัขสายพันธุ์คอร์กี้ที่ทรงเลี้ยงมาแล้วกว่า 30 ตัว ปัจจุบันเหลือเพียง 3 ตัว ได้แก่ มอนตี้ วิลโลว์ และฮอลลี่ และสุนัขทรงเลี้ยงทั้ง 3 ตัวนี้ ก็มักจะตามเสด็จไปด้วยทุกที่ นอกจากนี้ ยังมีสุนัขพันธุ์ "ดอร์กี้" ซึ่งเป็นผสมระหว่างสายพันธุ์คอร์กี้และดัชชุน อีก 3 ตัว ได้มาหลังจากหนึ่งในสุนัขทรงเลี้ยงของพระองค์ไปผสมพันธุ์กับสุนัขพันธุ์ดัชชุนนั่นเอง
 
 
 
5อายุ
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เป็นพระมหากษัตริย์อังกฤษที่มีพระชนมายุมากที่สุดของอังกฤษ (85 พรรษา)
 
 
 
6งานต่าง
ตลอดระยะเวลาการครองราชย์ มีประชาชนได้เข้าร่วมงานต่าง ๆ ของพระองค์ที่จัดขึ้นในพระราชวังบักกิ้งแฮม และโฮลีรูดเฮ้าส์ กว่า 1.5 ล้านคน
 
 
 
7นายก
นับตั้งแต่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงครองราชย์ ประเทศอังกฤษมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีมาแล้วกว่า 12 คน คนแรกคือ วินสตัน เชอร์ชิลล์ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน คือ เดวิด คาเมรอน
 
 
 
8ประธานาธิบดี
นับตั้งแต่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงครองราชย์ สหรัฐอเมริกามีการเปลี่ยนประธานาธิบดีมาแล้ว 11 คน และประธานาธิบดีทุกคนล้วนเคยเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินีนาถแล้ว ยกเว้น ลินดอน บี. จอห์นสัน
 
 
 
9สมเด็จพระสันตะปาปา
นับตั้งแต่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงครองราชย์ คริสตจักรโรมันคาทอลิกมีการสืบทอดตำแหน่งสมเด็จพระสันตะปาปามาแล้ว 6 องค์ ได้แก่ สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12, สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นที่ 23, สมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 6, สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 1, สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2, และ สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16
 
 
 
10เสด็จเยือน
ตลอดระยะเวลาการครองราชย์ พระองค์ได้เสด็จเยือนประเทศต่าง ๆ อย่างเป็นทางการมาแล้วกว่า 261 ครั้ง ในจำนวนนี้มีประเทศออสเตรเลีย 16 ครั้ง, แคนาดา 22 ครั้ง, จาไมกา 6 ครั้ง, และนิวซีแลนด์ 10 ครั้ง
 
 

10 อันดับสุดยอดคลีนิคผิวหนังยอดนิยม
 
เรื่องของการรักษาผิวหนัง เป็นที่นิยมของคนทุกเพศทุกวัยกันอยู่แล้ว หัวข้อนี้เราจะมาท่านมาชม 10 อันดับสุดยอดคลีนิคผิวหนังยอดนิยม ของเว็บไซต์ TOPTENTHAILAND.com
1โรงพยาบาลผิวหนัง อโศก
อาคารตั้งตระหง่าน 6 ชั้น สุดถนนอโศก นับเป็น Signature ของย่านนี้ไปแล้ว เพราะใครที่ผ่านไปมาก็จะเห็นโรงพยาบาลผิวหนังอโศกได้ชัด คุณภาพหมอ ก็อย่างที่เค้าบอกว่า Dermatologist จริงๆ และบางท่านก็เป็นอาจารย์แพทย์ ส่วนใหญ่ยกทีมมาจากพรเกษม คลินิก หมอที่ดังของเขาก็คือ หมอประยูร เจนตระกูลโรจน์ ไปหาทีไร เขี่ยๆหน้าแค่สองสามทีก็รู้แล้วว่าเป็นโรคอะไร รักษาเร็ว แต่รอคิวนานนนน พอดู และสนนราคาก็ไฮโซทีเดียว (กระเป๋าฟีบ) นอกจากนั้นที่นี่มีแผนกเด็กด้วย คุณหมอฐิตาภรณ์ตรวจที่ รพ.กรุงเทพด้วยรักษาดี น่ารักทีเดียว หลานเคยไปหาคุณหมอ ในห้องมีของเล่นให้เด็กเล่นตลอด คิตตี้ ซาริโอ่ทั้งเซ็ท ด้วยความเป็นโรงพยาบาลบรรยากาศจึงสะอาดโอ่โถง ตามมาตรฐานโรงพยาบาลเอกชน และมีที่จอดรถในตัว แต่ถ้าขับรถมาไม่น่าจะรอด เพราะเส้นนี้ขึ้นชื่อเรื่องรถติดตลอดเวลา และด้วยสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้เป็น 10 อันดับสุดยอดคลีนิคผิวหนังยอดนิยม ของเว็บไซต์ TOPTENTHAILAND.com
 
 
 
2Genesis Skin Klinik
คลินิกสุด Chic ที่ชั้น 9 Dusit Thani Building ข้างๆโรงแรมดุสิตธานี ผู้ก่อตั้งที่นี่คือ คุณหมอรุจิรัตน์ วงศ์ทองศรี ดีกรี Dermatologist ออกตรวจที่ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และ BNH พร้อมทีมแพทย์จาก รพ.เอกชน ระดับ ต้นๆ ตอนเดินเข้ามานึกว่า เป็น Art gallery ที่นิวยอร์ค Design เก๋แบบ Minimal Style วิว 360 องศาของสวนลุมฯ สวยๆ เก๋ๆ นอกจากจะเป๊ะเรื่องผิวหนังและเครื่องมือ Laser จากอเมริกาทุกเครื่อง ที่นี้ยังขึ้นชื่อเรื่อง Body Design ออกแบบเรือนร่างให้งดงามโดยการทำเลเซอร์สลายไขมันด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ที่สำคัญทำครั้งเดียว ก็เห็นผลเลย และมีแผนกศัลยกรรม เค้าเรียกว่า Phenomenon (ปรากฏการณ์ความงาม) และ เก๋ไก๋มากยิ่งกว่านั้นคือ ได้พักห้อง Suite ไฮโซสุด ที่ Dusit Thani หลังการผ่าตัดด้วย แต่ก็ต้องจองคิวคุณหมอนิดนึง จะได้ไม่ต้องรอนาน เพราะลูกค้าฝรั่งมาค่อนข้างเยอะและจะปรึกษาหมอแบบใช้เวลานิดนึง
 
 
 
3รมย์รวินท์ , สุขุมวิท 24
คลีนิกไฮโซโดยแพทย์หญิงฐานิสร คุณหมอคนเก่ง หน้าเป๊ะ ผิวเป๊ะ นักบุกเบิกคนนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอคือหนึ่งในตัวแม่ของวงการนี้ ด้วยสาขาที่มีมากและลูกค้าระดับHi-end จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีดาราเข้าไปรักษามากพอดู สาขาที่แนะนำเค้าว่าเป็นสาขาแรกอยู่ที่ปากซอยสุมวิท 24 อีกสิ่งหนึ่งนอกเหนือไปจากสาขาที่ค่อนข้างมากแล้ว บรรยากาศของคลินิก็งามทีเดียว ทำเลสะดวก เป็นอีกที่หนึ่งที่ต้องให้ดาว ขึ้นอันดับ 1 ใน 10 เลยทีเดียว
 
 
 
4S Medical Spa , เพลินจิต
ไม่พูดถึงคลินิกสุดเก๋ใจกลางเมืองในสวนร่มรื่นอย่าง S Medical Spa คงจะไม่ได้ แม้จะใช้ชื่อว่า Spa แต่ก็มี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญประจำการอยู่มากมายหลายสาขาทั้งแพทย์ผิวหนัง Ant aging คอร์สเค้าก็เก๋ๆ มีชื่อเรียกพร้อมระบุเวลาทำทรีตเม้นต์ในรูปแบบสปา แต่เป็นสปาทางการแพทย์ น้อยคนคงจะReview ในเรื่องความโออ่าของสถานที่และการตกแต่ง จึงขอพูดสักหน่อย ที่นี่เรียกได้ว่าคนที่ชอบสไตล์ คอนเทม น่าจะติดใจ แบบว่าเดินอยู่ในสปากลางเมืองแต่ยังให้บรรยากาศของความผ่อนคลาย
 
 
 
5Apex (Thonglor)
บรรยากาศโอ่โถงสุดๆของตึก 3 ชั้น เมื่อก้าวเข้าไปในทองหล่อซอย 8 สีม่วงขาวคลุมโทนที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย แม้แต่รองเท้าที่มีให้เปลี่ยนยังเป็นรองเท้าสีม่วงประดับคริสตัล คุณหมอนันทภัทร์ ผู้ก่อตั้งก็เป็นผู้นำเทคโนโลยียกกระชับใบหน้าด้วยเส้นไหม Aptos มาสู่วงการความสวยความงาม การันตีความเป๊ะ แม้สาขาอื่นๆจะดูธรรมดาแต่สาขาที่ทองหล่อก็เก๋ไม่หยอก แต่ละสาขาจะมีเครื่องมือไม่ครบ แต่ที่สขาใหญ่นี้ก็ถือว่าครบอยู่ มาท่ีเดียวจบ สนนราคาก็โอเค สำหรับบริการและคุณภาพของเลเซอร์และพนักงาน
 
 
 
6Morphosis Clinic
เห็นหมอแล้วนึกว่าอยู่โรงเรียนแพทย์ หน้าเด็กกันจริงๆ มีหมออยู่ 4 ท่าน แต่ละคนดูเหมือนจบใหม่แต่ฝีมือก็อาจจะไม่ค่อยเด็กกันสักเท่าใหร่ ที่ชอบเป็นพิเศษคือคลินิกนี้อยู่ในLocation ที่ถือได้ว่าเยี่ยม สวนสวยๆเป็นส่วนตัวสุดๆ ใน O.P.Garden บางรัก บรรยากาศอบอุ่นสไตล์บาบาร่าแบรี่ คิวไม่ยาวจนเกินไป สนนราคาก็กระเป๋าโล่งพอสมควร แต่สมกับรรยากาศและคุณภาพ แต่แอบเดินทางยากถ้าไม่มีรถส่วนตัว พนักงานบริการดี ยิ้มแย้ม เป็นคลินิก Chic Chic ของคนเมือง
 
 
 
7Medivisage Clinique
เห็นหลายคนไปหาหมอนัฐ ก็อยากลองไปหามั่ง คลินิกนี้ก็เก๋ๆ อยู่กลางทองหล่อย่านเลิศเหมือนกัน เหมาะกับคนชอบบรรยากาศสบายๆ คนไม่แออัด มีทั้งเลเซอร์ และ โบท๊อกซ์ เค้าให้บริการดารามาหลายคน จริงไม่จริงไม่รู้ แต่หมอนัทเป๊ะทีเดียว
 
 
 
8Divana Clinic
เค้าเก่งเรื่อง เวชศาสตร์ แห่งการชะลอวัย ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีทางการแพทย์อันทันสมัย มาใช้ในการบำบัดรักษาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่ต้องการมีอายุยืนยาว และมีสุขภาพที่ดี ที่สำคัญมิใช่การมีอายุยืนยาวและอ่อนเยาว์จากภายนอกด้วยการเสริมความงาม เท่านั้น แต่เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการดูแลตัวเอง เพื่อให้มีสุขภาพที่ดีทั้งภายในและภายนอกด้วย เป็นอีกทางเลือกของผิว และ ดูแลสุขภาพร่างกายโดยร่วมในบรรยากาศสปาสบายๆ
 
 
 
9DNA Clinic
คลิกผิวหน้า DNA โดย ดร.พาเวล โคซิคซินสกี เป็นแพทย์ผู้ชำนาญและมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี ทางด้านเวชศาสตร์ความงามในทวีปยุโรป ศึกษาและทำงานทางด้านฟื้นฟู ยกกระชับผิวให้แลดูอ่อนกว่าวัย (Rejuvenation Clinic) โดยเฉพาะด้านการร้อยทองหน้าตึง จึงออกแบบการรักษาเฉพาะตัว คนที่เคยไปจะสัมัสได้ว่าบรรยากาศดี คุณหมอก็คุยดี แนะนำดี
 
 
 
10Meko Clinic
ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานกว่า 29 ปี เมโกะ คลินิก เป็นที่รู้จัก และอยู่ในระดับแถวหน้า ของแวดวงความงามเมืองไทย โดยเฉพาะเรื่องผิวพรรณ และศัลยกรรมความงาม ด้วยสขาที่เยอะ และคุณภาพแพทย์ก็เลิศ จึงทำให้ Meko ยังคงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของผู้รักผิวพรรณ
 
 

วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันวิสาขบูชา



วันวิสาขบูชา


           วันวิสาขบูชา 2555 ตรงกับวันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน ในปีนี้นับเป็นอภิลักขิตกาลพิเศษ คือเป็นปีที่ครบ 2,600 พุทธศตวรรษ หรือ 2,600 ปี แห่งการอุบัติขึ้นของพระพุทธศาสนา และเชื่อว่าทุกคนรู้จักชื่อวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอย่างวันวิสาขบูชากันดีอยู่แล้ว แต่จะมีสักกี่คนที่ทราบความเป็นมา และความสำคัญของ วันวิสาขบูชา ถ้างั้นอย่ารอช้า...เราไปค้นหาความหมายของ วันวิสาขบูชา และอ่าน ประวัติวันวิสาขบูชา พร้อมๆ กันดีกว่าค่ะ


 ความหมายของ วันวิสาขบูชา

          คำว่า วิสาขบูชา ย่อมาจากคำว่า "วิสาขปุรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ" ดังนั้น วิสาขบูชา จึงหมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือน 6

 การกำหนด วันวิสาขบูชา

          วันวิสาขบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งมักจะตรงกับเดือนพฤษภาคม หรือมิถุนายน แต่ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ กลางเดือน 7 หรือราวเดือนมิถุนายน

          อย่างไรก็ตาม ในบางปีของบางประเทศอาจกำหนด วันวิสาขบูชา ไม่ตรงกับของไทย เนื่องด้วยประเทศเหล่านั้นอยู่ในตำแหน่งที่ต่างไปจากประเทศไทย ทำให้วันเวลาคลาดเคลื่อนไปตามเวลาของประเทศนั้นๆ

ประวัติวันวิสาขบูชา และความสำคัญของ วันวิสาขบูชา

          วันวิสาขบูชา ถือเป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่เกิด 3 เหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวียนมาบรรจบกันในวันเพ็ญเดือน 6 แม้จะมีช่วงระยะเวลาห่างกันนับเวลาหลายสิบปี ซึ่งเหตุการณ์อัศจรรย์ 3 ประการ ได้แก่...


วันวิสาขบูชา
1. วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ
          เมื่อพระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระครรภ์แก่จวนจะประสูติ พระนางแปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ เพื่อประสูติในตระกูลของพระนางตามประเพณีนิยมในสมัยนั้น ขณะเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน พระนางก็ได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ต้นสาละนั้น ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 80 ปี ครั้นพระกุมารประสูติได้ 5 วัน ก็ได้รับการถวายพระนามว่า "สิทธัตถะ" แปลว่า "สมปรารถนา"
          เมื่อข่าวการประสูติแพร่ไปถึงอสิตดาบส 4 ผู้อาศัยอยู่ในอาศรมเชิงเขาหิมาลัย และมีความคุ้นเคยกับพระเจ้าสุทโธทนะ ดาบสจึงเดินทางไปเข้าเฝ้า และเมื่อเห็นพระราชกุมารก็ทำนายได้ทันทีว่า นี่คือผู้จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงกล่าวพยากรณ์ว่า "พระราชกุมารนี้จักบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ เห็นแจ้งพระนิพพานอันบริสุทธ์อย่างยิ่ง ทรงหวังประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก จะประกาศธรรมจักรพรหมจรรย์ของพระกุมารนี้จักแพร่หลาย" แล้วกราบลงแทบพระบาทของพระกุมาร พระเจ้าสุทโธทนะทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์นั้นทรงรู้สึกอัศจรรย์และเปี่ยมล้นด้วยปีติ ถึงกับทรุดพระองค์ลงอภิวาทพระราชกุมารตามอย่างดาบส


วันวิสาขบูชา


2. วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมโพธิญาณ

          หลังจากออกผนวชได้ 6 ปี จนเมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา เจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ในตอนเช้ามืดของวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า พุทธคยา เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของอินเดีย

          สิ่งที่ตรัสรู้ คือ อริยสัจสี่ เป็นความจริงอันประเสริฐ 4 ประการของพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปที่ต้นมหาโพธิ์ และทรงเจริญสมาธิภาวนาจนจิตเป็นสมาธิได้ฌานที่ 4 แล้วบำเพ็ญภาวนาต่อไปจนได้ฌาน 3 คือ
          
           ยามต้น : ทรงบรรลุ "ปุพเพนิวาสานุติญาณ " คือ ทรงระลึกชาติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่นได้
           ยามสอง : ทรงบรรลุ "จุตูปปาตญาณ" คือ การรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ด้วยการมีตาทิพย์สามารถเห็นการจุติและอุบัติของวิญญาณทั้งหลาย
           ยามสาม หรือยามสุดท้าย : ทรงบรรลุ "อาสวักขญาณ" คือ รู้วิธีกำจัดกิเลสด้วย อริยสัจ 4 (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญเดือน 6 ซึ่งขณะนั้นพระพุทธองค์มีพระชนมายุได้ 35 พรรษา

วันวิสาขบูชา



3. วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน (ดับสังขารไม่กลับมาเกิดสร้างชาติ สร้างภพอีกต่อไป)

          เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และแสดงธรรมเป็นเวลานานถึง 45 ปี จนมีพระชนมายุได้ 80 พรรษา ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ในระหว่างนั้นทรงประชวรอย่างหนัก ครั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือน 6 พระพุทธองค์กับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ก็ไปรับภัตตาหารบิณฑบาตที่บ้านนายจุนทะ ตามคำกราบทูลนิมนต์ พระองค์เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะตั้งใจทำถวายก็เกิดอาพาธลง แต่ทรงอดกลั้นมุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธุ์ปรินิพพาน

          เมื่อถึงยามสุดท้ายของคืนนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นให้ บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด"หลังจากนั้นก็เสด็จเข้าดับขันธุ์ปรินิพพาน ในราตรีเพ็ญเดือน 6 นั้น
                                                           

 ประวัติความเป็นมาของ วันวิสาขบูชา ในประเทศไทย

          ปรากฎหลักฐานว่า วันวิสาขบูชา เริ่มต้นครั้งแรกในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี สันนิษฐานว่าได้รับแบบแผนมาจากลังกา นั่นคือ เมื่อประมาณ พ.ศ.420 พระเจ้าภาติกุราช กษัตริย์แห่งกรุงลังกา ได้ประกอบพิธีวิสาขบูชาขึ้น เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา จากนั้นกษัตริย์ลังกา พระองค์อื่นๆ ก็ปฏิบัติประเพณีวิสาขบูชานี้สืบทอดต่อกันมา

          ส่วนการเผยแผ่เข้ามาในประเทศไทยนั้น น่าจะเป็นเพราะประเทศไทยในสมัยกรุงสุโขทัยมีความสัมพันธ์ด้านพระพุทธศาสนากับประเทศลังกาอย่างใกล้ชิด เห็นได้จากมีพระสงฆ์จากลังกาหลายรูปเดินทางเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนา และนำการประกอบพิธีวิสาขบูชาเข้ามาปฏิบัติในประเทศไทยด้วย

          สำหรับการปฏิบัติพิธีวิสาขบูชาในสมัยสุโขทัยนั้น ได้มีการบันทึกไว้ในหนังสือนางนพมาศ สรุปได้ว่า  เมื่อถึงวันวิสาขบูชา พระเจ้าแผ่นดิน ข้าราชบริพาร ทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายใน ตลอดทั้งประชาชนชาวสุโขทัย จะช่วยกันประดับตกแต่งพระนคร ด้วยดอกไม้ พร้อมกับจุดประทีปโคมไฟให้ดูสว่างไสวไปทั่วพระนคร เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน เพื่อเป็นการบูชาพระรัตนตรัย ขณะที่พระมหากษัตริย์ และบรมวงศานุวงศ์ ก็ทรงศีล และทรงบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ ครั้นตกเวลาเย็นก็เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และนางสนองพระโอษฐ์ตลอดจนข้าราชการทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายในไปยังพระอารามหลวง เพื่อทรงเวียนเทียนรอบพระประธาน
ส่วนชาวสุโขทัยจะรักษาศีล ฟังธรรม ถวายสลากภัต สังฆทาน อาหารบิณฑบาตแด่พระภิกษุสามเณร บริจาคทานแก่คนยากจน ทำบุญไถ่ชีวิตสัตว์ ฯลฯ

          หลังจากสมัยสุโขทัย ประเทศไทยได้รับอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์มากขึ้น ทำให้ในช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไม่ปรากฎหลักฐานว่ามีการประกอบพิธีวิสาขบูชา จนกระทั่งมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.2360) ทรงมีพระราชดำริที่จะให้ฟื้นฟูพิธีวิสาขบูชาขึ้นมาใหม่ โดยสมเด็จพระสังฆราช (มี) สำนักวัดราชบูรณะ ถวายพระพรให้ทรงทำขึ้น เป็นครั้งแรก ในวันขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำ  และวันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 พ.ศ.2360 และให้จัดทำตามแบบอย่างประเพณีเดิมทุกประการ เพื่อให้ประชาชนได้ทำบุญ ทำกุศล โดยทั่วหน้ากัน การรื้อฟื้นพิธีวิสาขบูชาขึ้นมาในครานี้ จึงถือเป็นแบบอย่างถือปฏิบัติในการประกอบพิธี วันวิสาขบูชา ต่อเนื่องมาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน

 วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญสากลของสหประชาชาติ
          วันวิสาขบูชา ถือเป็นวันสำคัญที่สุดทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากล้วนมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการถือกำเนิดของพระพุทธศาสนา คือ เป็นวันที่พระศาสดา คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ดังนั้นพุทธศาสนิกชนทั่วโลกจึงให้ความสำคัญกับวันวิสาขบูชานี้ และในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2542 องค์การสหประชาชาติได้ยอมรับญัตติที่ประชุม กำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก โดยเรียกว่า Vesak Day  ตามคำเรียกของชาวศรีลังกา ผู้ที่ยื่นเรื่องให้สหประชาชาติพิจารณา และได้กำหนดวันวิสาขบูชานี้ถือเป็นวันหยุดวันหนึ่งของสหประชาชาติอีกด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อให้ชาวพุทธทั่วโลกได้มีโอกาสบำเพ็ญบุญเนื่องในวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระบรมศาสดา โดยการที่สหประชาชาติได้กำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลกนั้น ได้ให้เหตุผลไว้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นมหาบุรุษผู้ให้ความเมตตาต่อหมู่มวลมนุษย์ เปิดโอกาสให้ทุกศาสนาสามารถเข้ามาศึกษาพุทธศาสนา เพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริงได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ และทรงสั่งสอนทุกคนโดยใช้ปัญญาธิคุณ โดยไม่คิดค่าตอบแทน


วันวิสาขบูชา


 การประกอบพิธีใน วันวิสาขบูชา

การประกอบพิธีใน วันวิสาขบูชา จะแบ่งออกเป็น 3 พิธี ได้แก่

           1. พิธีหลวง คือ พระราชพิธีสำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ประกอบในวันวิสาขบูชา
           2. พิธีราษฎร์ คือ พิธีของประชาชนทั่วไป
           3. พิธีของพระสงฆ์ คือ พิธีที่พระสงฆ์ประกอบศาสนกิจ

 กิจกรรมใน วันวิสาขบูชา
กิจกรรมที่พุทธศาสนิกชนพึงปฏิบัติใน วันวิสาขบูชา ได้แก่
           1. ทำบุญใส่บาตร กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ญาติที่ล่วงลับ และเจ้ากรรมนายเวร
           2.  จัดสำรับคาวหวานไปทำบุญถวายภัตตาหารที่วัด และปฏิบัติธรรม ฟังพระธรรมเทศนา
           3. ปล่อยนกปล่อยปลา เพื่อสร้างบุญสร้างกุศล
           4. ร่วมเวียนเทียนรอบอุโบสถที่วัดในตอนค่ำ เพื่อรำลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
           5. ร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับวันสำคัญทางพุทธศาสนา
           6. จัดแสดงนิทรรศการ ประวัติ หรือเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับวันวิสาขบูชาตามโรงเรียน หรือสถานที่ราชการต่างๆ เพื่อให้ความรู้ และเป็นการร่วมรำลึกถึงความสำคัญของวันวิสาขบูชา
           7. ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน วัดและสถานที่ราชการ
           8. บำเพ็ญสาธารณประโยชน์

 หลักธรรมที่สำคัญใน วันวิสาขบูชา ที่ควรนำมาปฏิบัติ

          ใน วันวิสาขบูชา พุทธศาสนิกชนทั้งหลายควรยึดมั่นในหลักธรรม ซึ่งหลักธรรมที่ควรนำมาปฏิบัติในวันวิสาขบูชา ได้แก่
1. ความกตัญญู

          คือ การรู้คุณคน เป็นคุณธรรมที่คู่กับความกตเวที ซึ่งหมายถึงการตอบแทนคุณที่มีผู้ทำไว้ ความกตัญญูและความกตเวทีนี้ เป็นเครื่องหมายของคนดี ทำให้ครอบครัวและสังคมมีความสุข ซึ่งความกตัญญูกตเวทีนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทั้ง บิดามารดาและลูก ครูอาจารย์กับศิษย์ นายจ้างกับลูกจ้าง ฯลฯ

          ในพระพุทธศาสนา เปรียบพระพุทธเจ้าเสมือนกับบุพการี ผู้ชี้ให้เห็นทางหลุดพ้นแห่งความทุกข์ ดังนั้นพุทธศาสนิกชนจึงควรตอบแทนด้วยความกตัญญูกตเวทีด้วยการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และดำรงพระพุทธศาสนาให้อยู่สืบไป

2. อริยสัจ 4
          คือ ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ใน วันวิสาขบูชา ได้แก่

           ทุกข์ คือ ปัญหาของชีวิต สภาวะที่ทนได้ยาก ซึ่งทุกข์ขั้นพื้นฐาน คือ การเกิด การแก่ และการตาย ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ ส่วนทุกข์จร คือ ทุกข์ที่เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การพลัดพลาดจากสิ่งที่เป็นที่รัก หรือ ความยากจน เป็นต้น

           สมุทัย คือ ต้นเหตุของปัญหา หรือสาเหตุของการเกิดทุกข์ และสาเหตุส่วนใหญ่ของปัญหาเกิดจาก "ตัณหา" อันได้แก่ ความอยากได้ต่างๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

           นิโรธ คือ ความดับทุกข์ เป็นสภาพที่ความทุกข์หมดไป เพราะสามารถดับกิเลส ตัณหา อุปาทานออกไปได้

           มรรค คือ หนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์ เป็นการปฎิบัติเพื่อแก้ปัญหา มี 8 ประการ ได้แก่ ความเห็นชอบ  ดำริชอบ  วาจาชอบ กระทำชอบ  เลี้ยงชีพชอบ  พยายามชอบ  ระลึกชอบ  ตั้งจิตมั่นชอบ


3. ความไม่ประมาท
          คือการมีสติตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไร พูดอะไร คิดอะไร ล้วนต้องใช้สติ เพราะสติคือการระลึกได้ การระลึกได้อยู่เสมอจะทำให้เราใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ซึ่งความประมาทนั้นจะทำให้เกิดปัญหายุ่งยากตามมา ดังนั้นในวันนี้พุทธศาสนิกชนจะพากันน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยความมีสติ


          วันวิสาขบูชา นับว่าเป็นวันที่มีความสำคัญสำหรับพุทธศาสนิกชนทุกคน เป็นวันที่มีการทำพิธีพุทธบูชา เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระวิสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์และสรรพสัตว์  อีกทั้งเพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ทั้ง 3 ประการ ที่มาบังเกิดในวันเดียวกัน และนำหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์มาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติในการดำรงชีวิตค่ะ