วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554


ตำนานวันคริสต์มาส


          คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

          เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร

           ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

          เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม


องค์ประกอบในงานคริสต์มาส

 ซานตาครอส
เป็นสิ่งแรกๆ ที่คนจะนึกถึงในฐานะสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส ซึ่งว่ากันว่าซานตาคลอสคนแรก คือ นักบุญ (เซนต์) นิโคลัส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 และเหตุที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นซานตาครอสคนแรก มาจากวันหนึ่งที่ท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่ง แล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี
 

          นักบุญนิโคลัส นั้นเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม เอาไว้ ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลัสก็เปลี่ยนเป็น ซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราชก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนและใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะที่มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติของเขา

          ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียงตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย อาทิ ความปิติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง

 ถุงเท้า           จากที่นักบุญนิโคลัสได้ปีนขึ้นไปบนปล่องไฟของบ้านเด็กหญิงยากจน เพื่อที่จะมอบเหรียญเงินให้เป็นของขวัญ แต่เหรียญนั้นกลับตกไปอยู่ในถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้หน้าเตาผิง พอรุ่งเช้าเด็กหญิงตื่นมาเจอเหรียญเงินในถุงเท้าจึงดีใจมาก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ผู้คนมากมายต่างพากันแขวนถุงเท้าคริสต์มาสไว้ เพื่อหวังจะได้รับของขวัญเช่นเดียวกันบ้าง


 ต้นคริสต์มาส
          นอกจากนี้อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ก็คือ ต้นคริสต์มาส ซึ่งต้นคริสต์มาสก็คือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยลูกแอปเปิ้ลและขนมปังเพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิท และก็ได้มีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยจนมาถึงการประดับด้วยดวงไฟหลากสีสัน ขนม และของขวัญ อย่างในทุกวันนี้ การตกแต่งแบบนี้ต้องย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก
          โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ที่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก และอีกเหตุผลที่ใช้ต้นสนก็เพราะว่ามันหาง่าย

          ในสมัยโบราณนั้นต้นคริสต์มาส หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โดยตามพระคัมภีร์นั้นได้เปรียบพระเยซูเจ้าเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เขียวเสมอในทุกฤดูกาล สื่อถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า อีกทั้งความสว่างของพระองค์ยังเหมือนแสงเทียนที่ส่องสว่างในความมืด และรวมถึงความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้นั้นเป็นจุดศูนย์รวมของครอบครัวในเทศกาลคริสต์มาส


 ต้นฮอลลี่

          ต้นฮอลลี่ เป็นต้นไม้พุ่มเตี้ย และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส เชื่อกันว่า สีเขียวของต้นฮอลลี่มีความหมายถึง การมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ และมีความสัมพันธ์กับพระเยซู โดยผลสีแดงของต้นฮอลลี่นั้นหมายถึงหยดเลือดของพระเยซูที่ไหลลงบนไม้กางเขน ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความรักที่มีต่อพระเจ้า ใบไม้ที่มีหนามของต้นฮอลลี่เป็นสิ่งที่เตือนพวกเราถึงมงกุฏหนามที่พวกชาวทหารโรมันได้นำมาวางไว้บนศีรษะของพระเยซูคริสต์


 ดอกไม้คริสต์มาส หรือ Poinsettia
          ตำนานของดอก Poinsettia ที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของวันคริสต์มาส มาจากเรื่องราวของเด็กหญิงจนๆ คนหนึ่ง ที่ต้องการหาของขวัญไปมอบให้พระแม่มารีในวันคริสต์มาสอีฟ แต่เนื่องจากเธอไม่มีสิ่งของใดๆ ติดตัว จึงเดินทางไปตัวเปล่า และระหว่างทางเธอได้พบกับนางฟ้าที่บอกให้เธอเก็บเมล็ดพืชไว้ ต่อมาเมล็ดพืชนั้นกลับเจริญเติบโตเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีเลือดหมูสดใส ซึ่งก็คือดอก Poinsettia ตั้งแต่นั้นดอก Poinsettia ก็ได้รับความนิยมใช้ประดับประดาบ้านในงานคริสต์มาส
 ดอกคริสต์มาส Christmas Rose          มีต้นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ ลักษณะเป็นดอกสีขาว และมักออกดอกในช่วงฤดูหนาว ตำนานของดอกคริสต์มาสนี้มีอยู่ว่า ในช่วงที่พระเยซูประสูติ มีผู้รอบรู้ 3 คน กับคนเลี้ยงแกะเดินทางมาพบพระเยซู ระหว่างทางพวกเขาพบกับ มาเดลอน เด็กหญิงที่เลี้ยงแกะคนหนึ่ง เมื่อเธอทราบว่าทั้งหมดเดินทางมาเพื่อมอบของขวัญให้พระเยซู มาเดลอนก็เสียใจที่ไม่มีของขวัญใดไปมอบให้พระเยซูบ้าง ก่อนที่นางฟ้าที่เฝ้ามองเธออยู่จะเกิดความเห็นใจจึงร่ายมนตร์เสกดอกไม้สีขาวน่ารักและมีสีชมพูอยู่ตรงปลายกลีบให้เธอ และดอกไม้นั้นคือ ดอกคริสต์มาสนั่นเอง

 เพลงวันคริสต์มาส          เพลงคริสต์มาสเริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 แต่งโดยพระสงฆ์และฆราวาส มีเนื้อร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมาของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่

          เพลงคริสตมาสแบบใหม่นี้ เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน เพราะมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดีในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาสที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night

          ความเป็นมาของเพลงนี้มาจากวันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้องไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ นำไปให้เพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber) ใส่ทำนองในคืนวันที่ 24 นั่นเอง และเล่นเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก
 คำอวยพรวันคริสต์มาส          ในวันคริสต์มาสเรามักจะใช้คำอวยพรให้แก่กันและกันว่า Merry X'mas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า "สันติสุขและความสงบทางใจ" คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ และได้จัดให้มีการฉลองเพื่อระลึกถึงการบังเกิดของพระเยซู ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศ ประเพณีนี้ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษที่ 4 และค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป

 สีประจำวันคริสต์มาส
สีที่เกี่ยวข้องในวันคริสต์มาสประกอบด้วย          สีแดง : เป็นสีของผลฮอลลี่ หรือซานตาครอส เป็นสีของเดือนธันวาคม ที่แสดงถึงความตื่นเต้น และหากเป็นสัญลักษณ์ตามศาสนา สีแดงจะหมายถึง ไฟ, เลือด และความโอบอ้อมอารี

          สีเขียว : เป็นสีของต้นไม้ สัญลักษณ์ของธรรมชาตื หมายถึงความอ่อนเยาว์และความหวังที่จะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ เปรียบได้กับว่าเทศกาลคริสต์มาสคือเทศกาลแห่งความหวัง

          สีขาว : เป็นสีของหิมะ และเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา คือแสงสว่าง ความบริสุทธิ์ ความสุข และความรุ่งเรือง สีขาวนี้จะปรากฎบนเสื้อคลุมนางฟ้า, เคราและชายเสื้อของซานตาครอส

          สีทอง : เป็นสีของเทียนและดวงดาว เป็นสัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์และความสว่างไสว


 การทำมิสซาเที่ยงคืน          การถวายมิสซานี้เกิดขึ้นหลังจากพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส) ในปีนั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระเยซูเจ้าประสูติ เมื่อไปถึงตรงกับเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้น เมื่อเดินทางกลับมาที่พักได้เวลาตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ยังมีสัตบุรุษหลายคนไม่ได้ร่วมขบวนไปด้วยในตอนแรก พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ในโอกาสวันคริสต์มาส
 เทียนและพวงมาลัย

         พวงมาลัยนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่คนสมัยก่อนใช้หมายถึงชัยชนะ แต่สำหรับการแขวนพวงมาลัยในวันคริสต์มาสนั้น หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบบริบูรณ์ตามแผนการณ์ของพระเป็นเจ้า ซึ่งธรรมเนียมนี้ เกิดจากกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมันได้เอากิ่งไม้มาประกอบเป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเพื่อเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะจุดเทียนหนึ่งเล่ม สวดภาวนา และร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกันเป็นเวลา 4 อาทิตย์ก่อนถึงวันคริสต์มาส ประเพณีเป็นที่นิยมอยางมากในประเทศอเมริกา ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยนำเทียน 1 เล่มนั้นมาจุดไว้ตรงกลางพวงมาลัยสีเขียว และนำไปแขวนไว้ที่หน้าต่าง เพื่อเป็นการเตือนให้คนที่เดินผ่านไปมาได้รู้ว่าใกล้ถึงวันคริสต์มาสแล้ว ส่วนเหตุผลที่พวงมาลัยมีสีเขียวนั้น เป็นเพราะมีการเชื่อกันว่าสีเขียวจะช่วยป้องกันบ้านเรือนจากพวกพลังอันชั่ว ร้ายได้

 ระฆังวันคริสต์มาส
          เสียงระฆังในวันคริสต์มาสคือการเฉลิมฉลองให้กับการประสูติของพระพุทธเจ้า โดยมีตำนานเล่าว่า มีการตีระฆังช่วงก่อนเวลาเที่ยงคืนของวันคริสต์มาสเพื่อลดพลังความมืด และบ่งบอกถึงความตายของปีศาจ ก่อนที่พระเยซูผู้ที่จะมาช่วยไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์จะถือกำเนิดขึ้น และระฆังนี้มีเสียงดังกังวาลนานนับชั่วโมง ก่อนที่ในเวลาเที่ยงคืนเสียงระฆังนี้จะกลับกลายมาเป็นเสียงแห่งความสุข


 ดาว
          ดาว ในความหมายของชาวคริสต์เตียน หมายถึงการแสดงออกที่ดีของพระเยซูคริสต์ ที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า "The bright and morning star" มีความหมายพิเศษเหมือนกับว่า ดวงดาวเหล่านั้นได้แบ่งที่อยู่กับสรวงสวรรค์ ไม่ว่าจะมีกำแพงอะไรขวางกั้นระหว่างพื้นผิวโลกด้วยก็ตาม

 เครื่องประดับและแอปเปิ้ล                         

          ในบางแห่งเชื่อว่า ลำต้นของแอปเปิ้ล มองดูคล้ายกับต้นไม้ในสรวงสวรรค์ จึงมีการนำเอาแอปเปิ้ลมาประดับตามต้นไม้ในวันคริสต์มาส ส่วนเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ที่ตกแต่งต้นคริสต์มาสนั้นเป็นงานศิลปะที่จำลองจากผลไม้ และที่มีสีสันสดใสนั้นเพื่อให้เกิดความรื่นเริงในบ้าน อีกทั้งแสงระยิบระยับที่สะท้อนไปมา ยังดูสวยงามคล้ายแสงเทียนและแสงไฟ


 ของขวัญวันคริสต์มาส
                     
          การแลกเปลี่ยนของขวัญในวันคริสต์มาสนั้น เริ่มต้นจากเมือง Saturnalia ในช่วงยุคโรมัน ต่อมาชาวคริสต์รับประเพณีนี้เข้ามา ด้วยความเชื่อว่า การให้ของขวัญนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับของขวัญประเภททอง, ยางสนที่มีกลิ่นหอม และ ยางไม้หอม ซึ่งพวกนักเวทย์จากตะวันออกที่เดินทางมาคารวะพระเยซูคริสต์ นำมาให้ตอนที่ท่านประสูติ

          ทั้งหมดนั้นก็คือการเฉลิมฉลองให้กับพระเยซู ที่เกิดมาเพื่อชำระบาปให้แก่ชาวคริสต์ทั้งหลาย และเป็นเทศกาลที่นำความสุข สนุกสนาน มาสู่หมู่มวลมนุษย์ 

นักมานุษยวิทยาคนสำคัญชาวฝรั่งเศส "โคล้ด เลวี่-สเตราส์"


 

นักมานุษยวิทยาคนสำคัญชาวฝรั่งเศส "โคล้ด เลวี่-สเตราส์" เสียชีวิตในวัย 100 ปี

"โคล้ด เลวี่-สเตราส์" ผู้ก่อตั้งสาขาวิชามานุษยวิทยาเชิงโครงสร้างได้เสียชีวิตลงในวัยหนึ่งศตวรรษ เผยเป็นผู้ต่อต้านท้าทายว่าวัฒนธรรมยุโรปไม่ได้ดีเลิศสูงส่งกว่าวัฒนธรรมอื่น
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า "โคล้ด เลวี่-สเตราส์" หนึ่งในปัญญาชนชาวฝรั่งเศสที่ทรงอิทธิพลสูงสุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 และเป็นผู้ก่อตั้งสำนักคิดมานุษยวิทยาเชิงโครงสร้างขึ้นในช่วงทศวรรษ 1950 ได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา ในวัย 100 ปี

เลวี่-สเตราส์ เกิดที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม เมื่อปี ค.ศ.1908 (พ.ศ.2451) ในครอบครัวที่มีพ่อและแม่เป็นชาวฝรั่งเศสเชื้อสายยิว เขาเติบโตในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และได้เข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์

เดิมที เลวี่-สเตราส์ เป็นนักศึกษาที่ชาญฉลาดผู้มีความสามารถดีเยี่ยมในวิชาธรณีวิทยา, นิติศาสตร์ และปรัชญา จนกระทั่งเมื่อมีโอกาสเดินทางไปสอนหนังสือในสาขาวิชาสังคมวิทยา ที่ประเทศบราซิล ในปี ค.ศ.1935 (พ.ศ.2478) เขาจึงเริ่มให้ความสนใจกับสาขาวิชามานุษยวิทยา

ที่ประเทศบราซิล เลวี่-สเตราส์ได้เดินทางไปศึกษาขนบธรรมเนียมประเพณีของกลุ่มชนเผ่าท้องถิ่น รวมทั้งได้ริเริ่มพัฒนาทฤษฎีและวิธีวิทยาในการศึกษากลุ่มชนเผ่าท้องถิ่นเหล่านั้น ซึ่งต่อมาได้มีคุณูปการอย่างลึกซึ้งต่อการศึกษาวิชามานุษยวิทยา

หลังจากเดินทางกลับมาประเทศฝรั่งเศส เลวี่-สเตราส์ได้ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารของกองทัพในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่หลังจากที่ฝรั่งเศสถูกกองทัพนาซีเยอรมันบุกเข้ายึดครองประเทศ เลวี่-สเตราส์ก็ตระหนักว่าตนเองตกอยู่ในอันตรายเนื่องมาจากการมีเชื้อสายยิวของเขา ดังนั้น นักวิชาการชาวฝรั่งเศสเชื้อสายยิวคนนี้จึงตัดสินใจลี้ภัยไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา

ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เลวี่-สเตราส์ ได้เข้าร่วมขบวนการ "เสรีฝรั่งเศส" ซึ่งทำงานร่วมกับรัฐบาลอเมริกันในการปลดปล่อยประเทศฝรั่งเศสจากการปกครองของนาซี หลังสงครามสิ้นสุดลง เขาจึงได้เดินทางกลับประเทศบ้านเกิด และจบการศึกษาระดับปริญญาเอกในปี ค.ศ.1948 (พ.ศ.2491)

นับแต่นั้นเป็นต้นมา เลวี่-สเตราส์ ก็ผลิตผลงานวิชาการทางด้านมานุษยวิทยาชิ้นสำคัญออกมาเป็นจำนวนมาก โดยในช่วงทศวรรษ 1950 เขาได้ใช้ขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นและนิทานปรัมปรามาเป็นเครื่องมือที่แสดงให้เห็นว่า แม้มนุษย์ในทุกสังคมจะมีแบบแผนทางพฤติกรรมและความคิดร่วมกัน แต่พฤติกรรมของมนุษย์เหล่านั้นก็วางอยู่บนพื้นฐานของระบบตรรกะที่แตกต่างหลากหลายกันไปในแต่ละสังคม ข้อเสนอดังกล่าวได้ท้าทายระบบคิดที่เห็นว่าวัฒนธรรมยุโรปหรือตะวันตกมีเอกลักษณ์และมีความสูงส่งกว่าวัฒนธรรมอื่น ซึ่งสอดคล้องกับความคิดต่อต้านลัทธิอาณานิคมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวพอดี

เลวี่-สเตราส์ ยังเสนออีกว่า ภาษา, การสื่อสาร และระบบตรรกะทางคณิตศาสตร์ จะเปิดเผยให้เราได้เห็นถึงระบบพื้นฐานของสังคม และความสัมพันธ์ในครอบครัว รวมทั้งระบบความเชื่อของมนุษย์นั้น ถือเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดที่จะใช้วิเคราะห์ปฏิสัมพันธ์อันซับซ้อนที่เชื่อมโยงสถาบันระดับพื้นฐานเหล่านั้นเข้ากับสถาบันอื่น ๆ ของสังคม

ประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซี่ แห่งฝรั่งเศส ได้กล่าวไว้อาลัยแด่โคล้ด เลวี่-สเตราส์ ว่า "เขาเป็นหนึ่งในนักชาติพันธุ์วิทยาผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล" และ "เป็นผู้สร้างสรรค์วิชามานุษยวิทยาสมัยใหม่"

ทั้งนี้ นอกจากจะมีความสามารถในการเขียนงานวิชาการสาขามานุษยวิทยาแล้ว เลวี่-สเตราส์ยังถือเป็นปัญญาชนผู้มีอารมณ์ขันอันคมคาย โดยเขาเคยกล่าวติดตลกถึงนามสกุลของตนเองที่ไปพ้องกับชื่อของกางเกงยีนส์ยี่ห้อดังระดับโลกว่า "ไม่มีปีใดเลย ที่จะไม่มีคำสั่งซื้อกางเกงยีนส์ถูกจัดส่งมาที่ผม"

วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554


...ตินติน...


       หนึ่งใน"การ์ตูนโปรด"ของหลายคน เชื่อว่าต้องมี "ตินติน"รวมอยู่ด้วยแน่นอน
       ผมคนหนึ่งล่ะ ที่ชอบ"ตินติน"
       ผมเรียก"ตินติน" แต่ที่บ้านเกิดของตินติน คือที่ประเทศเบลเยี่ยม เขาเรียกชื่อ Tin Tin ว่า"แตงแตง"
จอร์จ เรมี่
       ผู้ให้กำเนิดตินติน คือจอร์จ เรมี่ (Georges Remi) ซึ่งใช้นามปากกาในการเขียนการ์ตูนเรื่องนี้ว่า แอร์เช่(R.G) หรือ HERG?
       แอร์เช่ (R.G.) เป็นการนำเอาตัวอักษรแรกของชื่อและนามสกุล มาสลับตำแหน่งกันและออกเสียงแบบภาษาฝรั่งเศสว่า HERG?
       ประวัติของ จอร์จ เรมี่ น่าสนใจมากครับ คือเป็นเด็กในสำนักพิมพ์ ซึ่งตีพิมพ์หนังสือพิมพ์รายวันเพื่อเผยแพร่ศาสนาคาธอลิคในเบลเยี่ยม
       งานของเรมี่คือวาดภาพประกอบในนิตยสาร
       แต่จอร์จ ซึ่งมีคนวิจารณ์ว่า"วาดรูปเหมือนไก่เขี่ย วาดเส้นเหมือนลายมือเด็ก" แต่เพราะอารมณ์ขันและแนวคิดแปลกใหม่และไม่เหมือนใครของเขา ทำให้บรรณาธิการเห็นแวว จึงมอบหมายให้เขียนการ์ตูนหลายตอนจบเพื่อจูงใจผู้อ่าน เพราะหนังสือทางศาสนานั้น ปกติคนก็ไม่ค่อยสนใจอ่านอยู่แล้ว
       นั่นจึงเป็นจุดกำเนิด"ตินติน" !!!
       จอร์จ เรมี่ ให้ตัวเอกเป็นนักหนังสือพิมพ์หนุ่มน้อย ตัวเล็กๆ ผมชี้โด่ ชื่อว่า ตินติน(Tin Tin) และทันทีที่ผลงานออกมา ปรากฎว่ายอดขายหนังสือพิมพ์(เผยแพร่ศาสนา)ฉบับนั้นเพิ่มมากจนทุกคนที่อ่านติดใจ(การ์ตูน)
       ไม่นาน ..ไม่นานจริงๆ ผู้อ่านทั่วโลกพากันเฝ้าคอยติดตามการผจญภัยของ ตินติน กับหมาแสนรู้ที่ชื่อ สโนอี้ (Snowy)
       จอร์จ เรมี่ พา"ตินติน" ออกเดินทางไปสืบคดีทั่วโลก ชวนคนอ่านไปสัมผัสกันกับโลกใหม่ที่คนยังไม่เคยไป(ในยุคนั้น) ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย คองโก เปรู สก็อตแลนด์ หรือ จีนแผ่นดินใหญ่ (ซึ่งในปี 1930-1940 ที่ตีพิมพ์ยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก) แถมยังเคยไปตะลุยดวงจันทร์มาแล้ว(ซึ่งในปี 1930 ก็คงไม่มีใครเชื่อว่ามนุษย์จะไปถึงที่นั่นได้จริง)
       จุดเด่นที่"ตินติน" ทำให้คนทั่วโลกติดใจ ก็เพราะจอร์จขยันทำการบ้าน
       จุดเด่นที่ว่านั่นก็คือ การที่เป็นนักหนังสือพิมพ์ ซึ่งถือว่าอยู่กับแหล่งข้อมูล จอร์จ จึงตัดภาพถ่ายจำนวนมากเก็บไว้โดยเข้าแฟ้มเป็นหมวดหมู่ สำหรับเป็นข้อมูลมาใช้เป็นแบบในการวาดภาพ ทั้งภาพผู้คน ภาพสัตว์เลี้ยง ภาพบ้านเรือน ยานพาหนะ และสภาภูมิประเทศต่างๆที่เขาเขียนถึงในแต่ละตอน
        นอกจากสภาพแวดล้อมแล้ว จอร์จยังหยิบยกเอาบุคลิกของผู้คนจริงรอบตัวเขามาเป็นตัวละคร โดยให้แต่ละคนมีบุคลิกโดดเด่น ชัดเจน มีชีวิตชีวา เช่น กัปตันแฮดด็อก ฝาแฝดทอมป์สัน -ทอมสัน ศาสตราจารย์ แคลคูลัส ซึ่งล้วนแต่มีตัวตนจริง
       ว่ากันว่า "ตินติน" จอร์จถอดแบบมาจากรูปร่างหน้าตาของน้องชายของเขาเอง
       "ตินติน" พิมพ์ครั้งแรกในปี 1929 ได้รับการถ่ายทอดไว้ในหนังสือจำนวน 24 เล่ม มีการแปลเป็นภาษาต่างๆกว่า 50 ภาษา และมียอดจำหน่ายรวมกว่า 200 ล้านเล่มทั่วโลก
        ตินตินทั้ง 24 เล่ม ได้แก่...
       1. TIN TIN IN THE LAND OF THE SOVIETS (1930)
       2. TIN TIN IN THE CONGO (1931)
       3. TIN TIN IN AMERICA (1932)
       4. CIGARS OF THE PHAROAH (1934)
       5. THE BLUE LOTUS (1936)
       6. TIN TIN AND THE BROKEN EAR (1937)
       7. THE BLACK ISLAND (1938)
       8. KING OTTOKAR’S SCEPTRE (1942)
       9. THE CRAB WITH THE GOLDEN CRAWS (1942)
       10. THE SHOOTING STAR (1942)
       11. THE SECRET OF THE UNICORN (1943)
       12. RED RACKHAM’S TREASURE (1944)
       13. THE SEVEN CRYSTAL BALLS (1948)
       14. PRISONERS OF THE SUN (1949)
       15. LAND OF BLACK GOLD (1951)
       16. DESEINATION MOON (1953)
       17. EXPLOTERS ON THE MOON (1954)
       18. THE CALCULUS AFFAIR (1956)
       19. THE RED SEA SHARKS (1958)
       20. TIN TIN IN THE TIBET (1960)
       21. THE CASTAFIORE EMERALD (1963)
       22. FLIGHT 714 (1968)
       23. TIN TIN AND THE PICAROS (1976)
       24. TIN TIN AND THE ALPHART (1986)
Tintin in Thailand
       ไทยก็มีมี"ชื่อเสีย"เรื่องนี้ครับ เมื่อมีคนเขียนการ์ตูนเรื่อง Tintin in Thailand
       Tintin in Thailand เป็นการ์ตูนใต้ดิน ล้อเลียนเรื่องตินติน เขียนขึ้นในปี 2542 เป็นประเภท ตลก ล้อเลียน และ ผจญภัย โดยใช้ตัวละครจากเรื่องตินติน การ์ตูนเรื่องนี้ตีพิมพ์และเขียนภาพในประเทศไทย และมีการลักลอบนำไปจำหน่ายอย่างผิดกฎหมายในอังกฤษ เบลเยี่ยมและฝรั่งเศส เป็นเรื่องตินตินกับ สโนวี่สุนัขคู่ใจ พร้อมด้วย กัปตันแฮ็ดด็อค และ ศาสตราจารย์คัลคูลัส เดินทางไปเที่ยวเมืองไทยในวันหยุดพักผ่อน และไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ที่ชาวต่างชาตินิยมเที่ยวในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็น บาร์อะโกโก้ พัฒน์พงษ์ และเที่ยววัดวาอารามในเชียงใหม่และเชียงราย โดยในเรื่อง เขียนว่าเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นปลายปี 1999 ต่อเนื่องปี 2000
       หลังการ์ตูนเล่มนี้วางตลาดในเบลเยียม มูลนิธิแอร์เช (Herg? Foundation) ซึ่งเป็นผู้ดูแลลิขสิทธิ์ผลงานของ Georges Prosper Remi ผู้เขียนตินติน ได้แจ้งเบาะแสให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมผู้ลักลอบจำหน่ายการ์ตูนเรื่องนี้
"ตัวละคร"ในเรื่องที่คนทั้งโลกจดจำได้แก่...
ตินติน

       ตินติน นักข่าวหนุ่มที่กระหายความเที่ยงตรงและความถูกต้องจนบางครั้งทำให้ผู้อ่านมีความรู้สึกว่าน่าจะเป็นนักสืบมากกว่า และด้วยเหตุนี้ทำให้เขาต้องผจญไปกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เสี่ยงต่อชีวิต แต่ด้วยความสามารถที่เขามีและโชคที่เข้าข้างเขาทำให้สามารถรอดชีวิตได้มาอย่างหวุดหวิด
กัปตันแฮดด็อก

       กัปตันแฮดด็อก ปรากฏตัวครั้งแรกในตอน ก้ามปูทอง (THE CRAB WITH THE GOLDEN CRAWS) เป็นกัปตันที่มีความตั้งใจที่จะเลิกเหล้าแต่ก็เลิกไม่ได้สักที สูบไปป์ มีนิสัยขี้หงุดหงิดและปากจัดจนบางครั้งเกือบทำให้สถานการณ์แย่ไปเลย แต่ด้วยนิสัยที่รักเพื่อนต่อให้บุกน้ำลุยไฟที่ไหนถึงจะหวั่นๆ แต่ไม่เคยถอยสักครั้ง
สารวัตรทอมสันและทอมป์สัน
       สารวัตรทอมสันและทอมป์สัน ถือว่าเป็นตัวโจ๊กในการ์ตูนเรื่องนี้ เพราะความสามารถของฝาแฝดทั้งสองมีไม่ถึงครึ่งของTintinเลย แต่บางครั้งเขาทั้งสองก็สามารถเป็นที่พึ่งให้กับTintinได้ถึงแม้ว่าTintinจะเป็นฝ่ายช่วยพวกเขาเสียมากกว่า พวกเขาเป็นฝาแฝดที่ไม่ยอมรับในความเหมือนกันในหลายๆ อย่าง ถึงอย่างไรก็ตามเขาทั้งสองก็ชอบเถียงกันเองในเรื่องการพูดว่าใครพูดเลียนแบบใครกันแน่
แนสตอร์ 
        แนสตอร์ ปรากฏตัวครั้งแรกตอน ความลับของเรือยูนิคอร์น (THE SECRET OF THE UNICORN) เดิมเขาเป็นพ่อบ้านให้กับอีกครอบครัวหนึ่ง แต่เขาไม่รู้ว่าครอบครัวที่เขารับใช้นั้นเป็นอาชญากรด้วยเหตุนี้แนสเตอร์จึงไม่มีความผิดในการสมรู้ร่วมคิด ดังนั้นเมื่อกัปตันแฮดด็อก กลับจากการงมมรดกเขาก็เลยจ้างแนสเตอร์เป็นพ่อบ้าน
 สโนวี่

       สโนวี่ หรือ มีลู เป็นสุนัขเพศผู้ สีขาวล้วน มีนิสัยซื่อสัตย์ กล้าหาญ รักตินตินเป็นที่สุด ตะกละและขี้เมาเพราะสถานการณ์พาไป ไม่ว่าตินตินจะไปที่ไหนมันจะขอตามไปด้วยไม่ให้ห่าง
ศาสตราจาร์ย คูเบิรด์ แคลคูลัส 
       ศาสตราจาร์ย คูเบิรด์ แคลคูลัส เป็นศาสตราจารย์ช่างประดิษฐ์คิดค้น มักจะชอบคิดประดิษฐ์สิ่งของแปลกๆให้ตินตินใช้เช่น เรือดำน้ำรูปปลาฉลาม (ในตอนความลับของยูนิคอร์น) แม้บางที เขาอาจจะมีความคิดเพี้ยน เพ้อฝันหรือเกินความเป็นจริงไปบ้าง แต่เขาก็รักตินตินและกัปตันแฮ็ดด็อกอยู่เสมอ ศาตราจารย์แคลคูลัส ยังมีชื่อเรียกในภาษาฝรั่งเศสอีกว่า ตูร์เนอซอล (ภาษาฝรั่งเศสแปลว่า ดอกทานตะวัน)
แอบมีสูตรขนมอร่อย ๆ 
อย่าง ´วาฟเฟิล´ จากร้าน Coffee @ Love มาฝากค่ะ ซึ่งก่อนที่จะไปมือทำกันนั้น เราก็ต้องเข้าครัว เปิดตู้เย็น เตรียมส่วนผสมกันก่อนค่ะ

ส่วนผสม
แป้งสาลีอเนกประสงค์

น้ำตาลทราย

ไข่ไก่, ผงฟู

นมสด, เนยจืด

เกลือ, วานิลลา 
ลงมือเข้าครัว

1. ร่อนแป้ง, น้ำ ตาล, เกลือ และผงฟู จากนั้นำส่วนผสมทั้งหมดผสมเข้าด้วยกันในอ่าง

2. ผสมเนย นมสด และวานิลลา อีกชามหนึ่ง แล้วตีจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน

3. นำส่วนผสมทั้ง 2 ชามมารวมกัน พร้อมกับคนทุกอย่างให้เข้ากันพอดี

4. เทส่วนผสมที่เข้าที่แล้วลงในแม่พิมพ์ ที่ทาเนยขาวอุ่นรอไว้ก่อน

5. อบกระทั่งเนื้อแป้งสุกเป็นสีน้ำตาล เป็นอันเสร็จสรรพ จะกินกับวิปปิ้งครีม
ช็อกโกแลต, น้ำผึ้ง หรือไซรัป ตามแต่ใจอยากเลย

วาพเฟิลจากประเทศต่างๆ


  • อเมริกันวาฟเฟิล
  • มักจะทำจากแป้ง leavened กับผงฟู และอาจกลมสี่เหลี่ยมหรือรูปทรงสี่เหลี่ยม พวกเขามักจะทำเป็นอาหารเช้า , ราดด้วยเนยและ น้ำเชื่อมเมเปิ้ล , ผลไม้อื่น ๆ syrups หรือน้ำตาลผง พวกเขายังทำเป็นอาหารคาวหวานที่แตกต่างกันไป เช่นไก่ทอดและวาฟเฟิล  พวกเขาอาจจะทำเป็นขนมหวาน, ราดด้วยไอศครีมและรสชาติอื่
  • (วาฟเฟิลอเมริกันทานกับไข่และเบคอน)
  • ..........
  • เบลเยียมวาฟเฟิล หรือ วาฟเฟิล Brussels ทำด้วยแป้งยีสต์ - leavened ซึ่งโดยทั่วไป ในเบลเยี่ยมร้านขายวาฟเฟิลส่วนใหญ่จะให้บริการอย่างอบอุ่นจากผู้ขายและ และอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยววาฟเฟิลของเบลเยียมจะมีการราดด้วยวิปปิ้งครีมผลไม้หรือช็อคโกแลต 
  •  
  • วาฟเฟิล Liège  (จากเมืองของ Liège   ในภาคตะวันออกของประเทศเบลเยียม) เป็นวาฟเฟิลที่มีความหวานยิ่งขึ้น  คิดค้นโดยพ่อครัวของ เจ้าชายโคนของ Liège ในศตวรรษที่ 18 เป็นแป้งขนมปัง brioche ในชิ้นของวาฟเฟิลจะมีน้ำตาลเคลือบอยู่มันเป็นชนิดที่พบมากที่สุดของวาฟเฟิลที่มีอยู่ในเบลเยี่ยม 
  • วาฟเฟิลสไตล์สแกนดิเนเวียน  ลักษณะแป้งจะเป็นแบบบาง วาฟเฟิลเป็นรูปหัวใจรูปแบบที่พบมากที่สุดชนิดหวานกับ ราดวิปปิ้งหรือ ครีม และสตรอเบอร์รี่หรือแยมราสเบอร์รี่หรือเบอร์รี่
    •  Stroopwafels ( ดัตช์ : วาฟเฟิลน้ำเชื่อม ) เป็นวาฟเฟิลบางกับ น้ำเชื่อม
      • ใน ประเทศเนเธอร์แลนด์ในช่วงศตวรรษที่ 18 หรือ 19 วาฟเฟิลทำจากจาก แป้ง , เนย , น้ำตาล , ยีสต์ , นม และ ไข่ . ขนาดกลางของลูกแป้งจะใส่ เหล็กที่ทำวาฟเฟิล ขณะที่มันยังคงอบอุ่นก็ถูกตัดออกเป็นสองชิ้นแบ่งเท่า ๆ กัน เติมน้ำเชื่อมที่ทำจากน้ำตาลทรายแดง, เนยและ อบเชย
      •