วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555

นัทสึมิ ฆาตกรที่น่ารักที่สุดในประวัติศาสตร์


นัทสึมิ





ในวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ.2004 เกิดคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญขึ้นที่เมืองซาเซโบ 
นางาซกิ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเด็กหญิงนัทสึมิ ซึจิ อายุ 12 ปี 
ฆ่าเพื่อนหญิงร่วมชั้นเรียนของเธอโดยการปาดคอด้วยมีดคัตเตอร์ 
และกรีดหลังมือเพื่อนจนเห็นกระดูก คดีนี้ถูกตั้งชื่อว่า "คดีเชือดซาเซโบ (Sasebo Slashing)"

คดีฆาตกรรมดังกล่าวเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วประเทศ และถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก

ด้วยประเด็นที่น่าแปลกใจว่า เหตุใดเด็กนักเรียนประถม 6 ที่มีอายุเพียง 12 ปี 
จึงได้โหดถึงขนาดฆ่าเพื่อนของตนเอง แถมยังเดินกลับเข้
ห้องเรียนด้วยเสื้อผ้าเปื้อนเลือดอย่างไม่สะทกสะท้าน พร้อมทั้งยิ้มให้กับกล้องของเพื่อน ๆ

 และครู ที่พยายามถ่ายรูปของเธอเอาไว้ (ภายหลังรูปถ่ายของเธอหลังเกิดเหตุถูกตำรวจยึดไปทั้งหมด)

ซาโตมิ เหยื่อผู้ถูกเชือด


เรื่องราวนี้จบลงไม่ได้ง่าย ๆ เมื่อมีใครบางคนได้โพสต์ภาพถ่ายใบหน้าของเด็กหญิงลงบนเว็บไซต์
ชื่อดังของญี่ปุ่นโดยไม่มีการเซ็นเซอร์ ซึ่งถือว่าผิดกฎหมาย แต่แทนที่สังคมจะออกมาประณาม
เด็กหญิงฆาตกรในด้านลบ กลับกลายเป็นกระแสในทางบวก เพราะมีผู้คนจำนวนมากพากัน
ขนานนามเธอว่า "ฆาตกรที่น่ารักที่สุดในประวัติศาสตร์" พร้อมตั้งชื่อเล่นให้เธอว่า 
"เนวาดา-ตัน" (NEVADA คือตัวอักษรที่สกรีนบนเสื้อของเธอวันที่ทำฆาตกรรม ส่วน Tan แผลงมาจาก
คำว่า จัง ซึ่งเป็นคำเรียกต่อท้ายเด็กผู้หญิงน่ารัก ๆ)


หลังจากนั้นก็มีทั้งการ์ตูน ตุ๊กตา คอสเพลย์ เกมคอมพิวเตอร์ มาสคอต และอื่น ๆ อีกมายมายของเนวาดา-ตัน ออกมา พวกนักร้องถึงกับเอามาตั้งเป็นชื่อวงดนตรีอยู่ระยะหนึ่ง ราวกับเธอได้กลายเป็นไอดอลของคนญี่ปุ่นเลยมีเดียว 
ภาพที่ติดตาซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเธอ คือภาพเด็กหญิงในชุดเปื้อนเลือด ถือมีดคัตเตอร์อยู่ในมือ...


ชุดคอสเพลย์เนวาดา-ตัน



      นัทสึมิ เกิดเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ.1992 เป็นเด็กที่มีหน้าตาน่ารัก มีความกระตือรือร้นสูง เป็นนักเรียนดีเด่น และฉลาดมาก 
      จากการทดสอบไอคิว ปรากฏว่าเธอมีไอคิวสูงถึง 140 เข้าขั้นอัจฉริยะ เธอชอบเล่นบาสเก็ตบอล ดูภาพยนต์ และ
      เล่นอินเทอร์เน็ต เธอมีเพื่อนสนิทร่วมชั้นเรียนคนหนึ่งชื่อซาโตมิ มิทาไร ชีวิตของเธอดูปกติดีทุกอย่าง แต่อย่างไรก็ตาม 
       มีผู้สังเกตว่าเธอค่อนข้างมีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง และชอบเก็บตัว ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการดูภาพยนต์ที่มีเนื้อหารุนแรง 





ภาพยนต์เรื่องที่เธอชอบเป็นพิเศษคือ "Battle Royale” เนื้อหาประมาณว่า มีคนกลุ่มหนึ่งถูกนำไปปล่อยเกาะ ทุกคนจะถูกสวมใส่ปลอกคอที่จะระเบิดหลังจากเวลาผ่านไปชั่วระยะหนึ่ง 
มีวิธีเดียวที่จะหยุดระเบิดนั้นได้คือการฆ่ากันเอง ผู้ที่เหลือรอดเป็นคนสุดท้ายคือผู้ที่รอดตายเพียงหนึ่งเดียว เธอหลงใหลภาพยนต์เรื่องนี้มากถึงกับวาดภาพในวิชาศิลปะ เป็นภาพของตนเองคือหนึ่งในตัวละคร และเป็นผู้ชนะในขณะที่คนอื่นตายหมด 




          ในปีนั้นเธอถูกครอบครัวสั่งให้เลิกเล่นบาสเก็ตบอล และออกจากชมรมกีฬา เพราะผลการเรียนตกลงเล็กน้อย สำหรับชาวญี่ปุ่นถือว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง เธอจึงเริ่มดูภาพยนต์มากขึ้น และระบายความเครียดด้วยการเล่นอินเทอร์เน็ต ให้เวลาว่างในการเขียนนิยาย และไดอารี่ นอกจากนี้ยังพบว่าเธอชอบเข้าชมเว็บไซต์ที่มีเนื้อหารุนแรงสยองขวัญที่ถูกห้ามสำหรับเด็กมากมาย


ซ้าย: นัทสึมิ   ขวา:  ซาโตมิ

เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 27 พฤษภาคม 2004 เมื่อซาโตมิ เพื่อนของเธอเขียนคอมเม้นท์ลงในเว็บบอร์ดของนัทสึมิ 
เป็นเชิงล้อเล่นว่า "หนัก" ซึ่งหมายถึงเธอนั้นอ้วนเกินไป เป็นเหตุให้นัทสึมิไม่พอใจและถือว่านั่นเป็นคำหยาบคาย
ดูหมิ่น เรื่องเล็ก ๆ นี้ก่อให้เกิดการโต้ตอบถกเถียงกัน เป็นจุดเริ่มต้นให้นัทสึมิคิดฆ่าซาโตมิขึ้นมา 

วันที่ 28 พฤษภาคม นัทสึมิเขียนในไดอารี่ ถึงวิธีฆ่าที่ตนจะเลือกใช้สามแบบคือ ใช้มีดคัตเตอร์ ใช้ที่เจาะน้ำแข็ง 
หรือไม่ก็บีบคอ พร้อมเขียนว่า "ฉันอยากจะฆ่ามันวันนี้แหละ แต่ทำไม่ได้"

วันที่ 29 พฤษภาคม นัทสึมิ พยายามยื่นข้อเสนอให้ซาโตมิ เขียนคำขอโทษตน แต่ซาโตมิไม่ยอม กลับตอบเธอว่า "อวดเก่ง" 
แม้นัทสึมิจะทำการลบคอมเม้นท์ทิ้ง แต่ซาโตมิก็เขียนขึ้นมาใหม่อีกหลายครั้ง จนในที่สุดนัทสึมิก็
ตอบโต้ด้วยคำว่า "แกหายไปจากโลกนี้ซะเถอะ!"

วันที่ 31 พฤษภาคม นัทสึมิ เขียนไดอารี่ว่า "วันพรุ่งนี้ ฉันตัดสินใจจะฆ่ามันด้วยมีดคัตเตอร์"




วันที่ 1 มิถุนายน นัทสึมิ มาเรียนตามปกติ เธอได้ถ่ายรูปหมู่ร่วมกับเพื่อน ๆ และครูในโรงเรียน ตัวเธอสวมเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้ม 
สกรีนคำว่า "NEVADA" ยืนถ่ายรูปใกล้กับซาโตมิ (เด็กใส่แว่นตา) ด้วยท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใสทั้งคู่ 



ตอนพักกลางวัน นัทสึมิเรียกซาโตมิเข้าไปในห้องเรียนว่างเปล่าห้องหนึ่งที่ชั้นสาม สั่งให้นั่งเก้าอี้ ปิดม่าน จากนั้นก็
พูดกับซาโตมิว่า "ฉันจะฆ่าเธอ" แต่ซาโตมิก็ไม่หนี ด้วยไม่คิดว่านัทสึมิจะกล้าทำจริง ๆ และไม่คิดว่าเรื่องราว
ขัดแย้งล้อเล่นในอินเทอร์เน็ตจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้ อีกทั้งนัทสึมิเองก็เป็นเด็กไม่ค่อยแสดงออกมากนัก 
แม้จะมีนิสัยก้าวร้าวรุนแรงอยู่บ้างก็ตาม 


นัทสึมิดึงแว่นตาออกจากหน้าของเพื่อน แล้วใช้มือข้างหนึ่งปิดตาซาโตมิไว้ ก่อนที่จะใช้มีดคัตเตอร์เชือดคอเป็นรอยยาว 10 เซนติเมตร
ลึกถึง 10 เซนติเมตร ตัดหลอดลมขาด จากนั้นกรีดที่หลังมือของซาโตมิลึกจนเห็นกระดูก ซาโตมิทรุดลงหมดสติทันทีเพราะเสียเลือดมาก นัทสึมิรอประมาณ 15 นาที จนคิดว่าเพื่อนตายสนิทแล้วจึงออกจากที่เกิดเหตุ  


เธอเดินเข้าชั้นเรียนตามปกติด้วยเสื้อผ้าที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด สร้างความตกใจให้แก่ครูและเพื่อนเป็นอย่างมาก ครูประจำชั้น
รีบแจ้งตำรวจทันที หลายคนพยายามถ่ายรูปเธอ และเธอก็หันมายิ้มหวานให้กล้อง ส่วนร่างของซาโตมิถูกพบโดยครู 
ตรวจพบว่าเธอยังหายใจรวยรินจึงรีบพาส่งโรงพยาบาลแต่สายเกินไปเสียแล้ว เธอเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่นาน 



เมื่อตำรวจมาถึงและควบคุมตัวนัทสึมิ เด็กหญิงก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น แล้วพูดว่า "ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ" เธอฟูมฟายอยู่ในสถานีตำรวจทั้งคืนและไม่ยอมกินอะไร หลังจากที่เธอสงบลงก็ได้ให้ปากคำว่า เธอฆ่าผู้ตายเพราะผู้ตายเขียนข้อความใส่ร้าย 
ด่าทอเธอในอินเทอร์เน็ต "เธอเขียนเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับฉันหลายครั้ง ฉันไม่ชอบ จึงเรียกเธอมาและลงมือเชือดคอ 
ฉันยังประหลาดใจว่าทำไมฉันจึงทำสิ่งนั้น และฉันอยากขอโทษ..." นี่คือคำสารภาพของเธอ 





นัทสึมิถูกส่งตัวให้จิตแพทย์และนักจิตวิทยาเด็กเพื่อตรวจสอบอาการทางจิต เพราะหลายคนเชื่อว่าเธอน่าจะป่วยเป็นโรค
แยกตัวจากสังคม เพราะเธอไม่ชอบสุงสิงพูดคุยกับใคร แต่ผลการตรวจพบว่าเธอมีสุขภาพจิตสมบูรณ์ดี 
ไม่มีความผิดปกติใด ๆ ศาลจึงตัดสินให้เธอมีความผิดจริงในข้อหาก่อคดีฆาตกรรม

จากคดีนี้ทำให้หลายคนออกมากล่าวโทษสื่ออินเทอร์เน็ต และมีมาตรการให้มีการอบรมสั่งสอนมารยาทในการใช้อินเทอร์เน็ต
แก่เยาวชนชาวญี่ปุ่นอย่างเข้มงวด แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าเรื่องแบบนี้มันยากที่จะห้ามปรามได้ เพราะการติดต่อสื่อสาร
ทางอินเทอร์เน็ตนั้นไม่เห็นหน้ากัน ทำให้ต่างฝ่ายต่างขาดความเกรงใจต่อกัน ก่อให้เกิดปัญหาตามมาอยู่บ่อยครั้ง 


จากรายงานล่าสุดเกี่ยวกับนัทสึมิระบุว่า เธอยังคงถูกคุมขังอยู่ในโรงเรียนดัดสันดานที่เมืองโตชิกิ 
และจะมีกำหนดพ้นโทษในปี ค.ศ.2013 ซึ่งเธอจะมีอายุครบ 20 ปี

L'Épiphanie (La fete des rois)


วัน L'Epiphanie หรือ La fete des rois
วันนี้ตั้งขึ้นเพื่อระลึกถึงวันที่นักปราชญ์ 3 คน เดินทางติดตามดวงดาวนำทาง มาจนถึงคอกสัตว์ ณ เมืองเบ็ธเลเฮม ซึ่งเป็นสถานที่กำเนิดของพระกุมารเยซู และได้มอบของขวัญ 3 อย่างให้ คือ ทองคำ กำยาน และมดยอบ ให้แก่พระกุมารที่นอนอยู่ในรางหญ้า
(ของแต่ละชิ้นมีความหมายต่างๆ คือ กำยานหมายถึง การเป็นพระเจ้า  ทองคำ หมายถึง การเป็นกษัตริย์   และมดยอบหมายถึง การเป็นมนุษย์)


สำหรับในประเทศฝรั่งเศสแล้ว ในวันนี้คนฝรั่งเศสจะกินขนมที่ชื่อว่า La Galette des rois กัน และในขนม galette นี้ จะมีถั่ว หรือตัวตุ๊กตาเล็กๆอยู่ 1 ชิ้น ซึ่งเรียกว่า la fève
  
ถ้าใครบังเอิญเจอเจ้า la fève นี้ คนๆนั้นก็จะได้สวมมงกุฏกระดาษสีทอง  เป็นพระราชา1วัน และมีสิทธิเลือกราชินี 1 องค์ รวมถึงจะโชคดีตลอดปีค่ะ

La chandeleur



เครป มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่อาจไม่มีคำตอบชี้ชัด แต่คำว่า crepes มาจากคำ crispus ในภาษาละติน หมายถึงลักษณะขอบขนมที่ หยิก เป็นลอน
ชื่อ เครป จึงกลายเป็นชื่อของขนม ที่เรียกขานกันในคริสต์ศตวรรษที่ 13 เรื่อยมา
เครป เป็นขนมที่เรียบง่าย ประกอบไปด้วยแป้งสาลี ไข่ น้ำตาล นม เนย นำมาผสมกันแล้วเทลงในกระทะก็ได้แป้งแผ่นกลม สีเหลืองทอง สามารถใส่ไส้เป็นของคาวและหวานได้ตามชอบ ด้วยเหตุที่มีลักษณะทรงกลม สีเหลืองทองคล้ายดวงอาทิตย์นี่เอง ในสมัยก่อนเครปจึงเป็นขนมที่ใช้เสี่ยงทายของสังคมในยุคเกษตรกรรม เชื่อกันว่าถ้าไม่ทำเครปในวัน ลา ฌองเดอเลอร์ (La Chandeleur) แล้วล่ะก็ ต้นกล้าของข้าวสาลีก็จะเป็นโรคและเหี่ยวเฉาตายไปในที่สุด
ความเชื่อ
ลา ฌองเดอเลอร์ (La Chandeleur) หรือพิธีถวายพระกุมารในพระวิหาร ตามพระธรรมบัญญัติของโมเสส กำหนดให้มารดานำบุตรไปพระวิหารหลังจากเกิดได้ 40 วัน เป็นการถวายบุตรแก่พระผู้เป็นเจ้ารวมถึงการชำระมารดาหลังการคลอดบุตร ตรงกับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นช่วงที่ฤดูหนาวกำลังจะผ่านพ้นไปฤดูใบไม้ผลิที่สดใสกำลังจะเข้ามา ระหว่างเปลี่ยนฤดูกาลนี้เองจึงมีคำทำนายที่เชื่อมโยงกับดิน ฟ้า อากาศ อยู่ไม่น้อย
เชื่อกันว่าในงานฉลองนี้หากมีการรับประทานเครปกันจนอิ่มหนำแล้วล่ะก็ ทุกครอบครัวจะได้มีกินกันตลอดทั้งปีแถมยังมีความสุขร่ำรวยด้วยทรัพย์สินเงินทอง
ในวันเดียวกันนี้ มีการเสี่ยงทายด้วยการโยนเครปขึ้นไปในอากาศ โดยให้กำเหรียญทองไว้ในมือซ้าย ส่วนมือขวาจับหูกระทะแล้วโยนเครปขึ้นไปในอากาศ ถ้าขนมตกลงมาในกระทะได้ดังเดิม ผู้เสี่ยงทายก็จะมีเงินใช้ไปตลอดทั้งปี
บางตำราเล่าว่า ให้ซ่อนสตางค์เหรียญทองไว้ในเครปชิ้นแรกที่ทำ แล้วนำไปเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าภายในห้องนอนของเจ้าของบ้าน เชื่อว่าจะเป็นการเก็บเงิน เก็บทอง เก็บความมั่งมีศรีสุขของครอบครัวเอาไว้ เมื่อถึงงานฉลองลา ฌองเดอเลอร์ปีถัดไป ค่อยเอาเหรียญทองในเครปออกมามอบให้คนยากไร้ที่พบเป็นคนแรก

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555

10 อันดับ Hot toys ยอดฮิตแห่งปี 2011
 
สำหรับเนื้อหาวันนี้ก็เป็นการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ด้วย 10 อันดับ Hot toys ขายดียอดฮิตแห่งปี 2011 โดยเป็นสินค้าที่เรียกว่ามาแรงและขายดิบขายดีประจำปี 2011 ในหมู่นักสะสม Hot toys เลยทีเดียว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็ล้วนแต่เป็นคาแรคเตอร์ดังๆ จากภาพยนต์หลากหลายเรื่องครับ แต่ปีนี้ที่มาแรงก็จะเป็นพวกซุปเปอร์ฮีโร่ซะเป็นส่วนใหญ่ครับที่มาแรงทั้งของ ทั้งราคา แต่ยังไงก็เล่นพอให้เรามีความสุขก็พอครับ อยากจนเกิดความทุกข์ละ สวัสดีปีใหม่ 2555 จ้า
10MMS 139 Resident Evil: Afterlife
Hot toys เองก็ได้คว้าตัวเอกจากภาพยนต์ Resident Evil 4 Afterlife หรือที่เราๆ รู้จักชื่อของเธอในนาม อลิซ ที่มารับบทโดย มิลล่า โจโววิซ (Milla Jojovic)
 
 
 
9New Goblin MMS 1/6 Scale Limited Edition Collectible Figure
สำหรับในชุดซี่รี่ย์ Spiderman3 ล่าสุดทาง Hot toys ได้ปล่อยเพื่อนซี้และศัตรูคู่หูของ Spiderman ออกมาดูดเงินชาวไทยกันอีกแล้วกับเจ้า Dark hero ของค่าย Marvel นิวก็อบบลิน
 
 
 
8Predators : Classic Predator
Hottoys ได้รีเมคนักล่าจาก ห้วงอวกาศกลับมาจำหน่ายอีกครั้งด้วยรายละเอียดที่ได้รับการปรับปรุงขึ้นใหม่ ให้ดูสมจริงน่าสะสมมากยิ่งขึ้น ใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของเหล่า พรีเด เตอร์ “Predator ผมก็ขอแนะนำเจ้าตัวนี้เลยครับ
 
 
 
7Iron man 2 War machine
ล่าสุดได้มีการออกเวอร์ชั่นพิเศษออกมากันแล้วครับสำหรับเจ้า Iron man 2 War machine (special Ver.) MMS 1/6 th scale collectible figure ที่เรียกว่าบอดี้ทุกอย่างยังคงเดิมแต่ที่พิเศษเปลี่ยนไปก็คือสีเท่านั่นครับ กลายเป็นสีดำด้าน,เทาอ่อน และเงิน พร้อมรอยถลอกตามแบบฉบับวอร์แมชชีนครับ (ดีนะเนี่ยแค่เปลี่ยนสีก็ขายได้อีกแล้ว..แถมราคาสูงกว่าเดิมด้วย อิอิ)
 
 
 
6Iron Man 2:Mark IV (Secret Project) (2011 Toy Fairs Exclusive)
Iron man จาก Hot Toys ที่เหล่าบรรดานักสะสมเริ่มถอดใจไป ตามๆ กัน (รึป่าว) เพราะยิ่งตามเก็บพี่แกก็ยิ่งมีออกมาหลายๆ เวอร์ชั่นไม่หยุดหย่อน หุหุ ซึ่งคราวนี้ก็ถือเป็นธรรมเนียมแหละครับที่ต้องตามออกมาด้วยสินค้าพิเศษ,สี พิเศษในภายงาน (2011 Toy Fairs Exclusive)
 
 
 
51/6th scale Superman Collectible Figure
ถ้าจะย้อนไปในอดีตนักแสดงผู้รับบทเป็นซุปเปอร์แมนและถือเป็นต้นตำรับของความคลาสิกผมขอยกนิ้วให้ คุณ คริสโตเฟอร์ ดี’โอเลียร์ รีฟ ครับถึงแม้ว่าเค้าจะจากโลกนี้ไปแล้วแต่ภาพบทบาทฮีโร่ก็คงยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเราทุกคนครับ
 
 
 
4Captain America: The First Avenger MMS 156
ซูเปอร์ฮีโร่คนแรกจากมาร์เวลสตูดิโอและแถมยังเป็น The -first ในกลุ่ม Avenger อีกด้วยกับฮีโร่สุดคลาสสิกอย่าง กัปตันอเมริกาโดยมีต้นแบบมาจากตัวละครกัปตันอเมริกาในภาพยนต์นำแสดงโดย คริส อีแวนส์
 
 
 
3IRON MAN MARK V Limited Edition
on man V (หรือที่รู้จักกันใน Mark 5 ชุดที่ปรากฎอยู่ในภาพยนต์ Iron man ภาคสองนั่นเอง) จากค่าย Hoy toys ส่งมาเย้ายวนยั่วกิเลสบรรดานักสะสมทั้งหลายกันตั้งแต่ต้นปีกันเลยทีเดียว
 
 
 
2Captain Jack Sparrow
ขึ้นชื่อลือชาว่าโปรเจคตัวนี้ทำออกมาได้เหมือน Captain Jack Sparrow ตัวจริงใน ภาพยนต์เอามากๆและแถมอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีมาให้ก็ต้องบอกว่าสมกับเป็นงาน DX เสียจริงๆ ครับ (ทั้งความหรูหราของตัวกล่องเนียบไปจนถึงของแถมภายในกล่องที่มีมาให้เยอะมาก ทีเดียว)
 
 
 
1Batman/Bruce Wayne (Batsuit Begins version) 2011 Toy fairs Exclusive
สินค้าอีกชิ้นหนึ่งครับที่ได้ชื่อว่าเป็นของ Hot อย่างแรงไม่แพ้กัน หลังจากที่มีกระแสออกมาสักพักแล้วว่าเจ้า Batman Begin ตัวใหม่นี้ ในส่วนข้อเสียก็ทำเอานักสะสมต่างพากันหัวเสียไปตามๆ กัน กับการหาบัตร,การจอง เยอะแยะมากมาย บางคนถึงกับต้องบินไปต่อแถวซื้อกันที่ฮ่องกงกันเลยทีเดียว ต้องใจรักจริงๆ ครับงานนี้ ตัวฟิกเกอร์มีขนาดสูงประมาณ 30 ซม. หรืิอ 1/6 พร้อมจุดขยับมากมายกว่า? 30 จุดทั่วตัวจากที่เห็นรายละเอียดทำได้ดีขึ้นกว่าชุดก่อนๆ ที่เคยออกมามากทั้ง สีหน้า,แววตา,ลวดลายเกราะชุดแบทแมน,ผ้าคลุม โดยรวมแล้วเรียกได้ว่าถึงออกมาไม่เป็นสินค้าพิเศษก็คงขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแล้วครับพี่