วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

10 อันดับวิธีเจ๋งๆในการฝึกภาษาอังกฤษ ให้เก่งได้ด้วยตัวเอง !!

การฝึกภาษาอังกฤษ อาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับหลายคน แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในโลกยุคปัจจุบันและอนาคต ภาษาอังกฤษจะมีบทบาทสำคัญและสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นการรู้ภาษาย่อมทำให้ได้เปรียบนั่นเอง สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องการฝึกภาษาอังกฤษ วันนี้เราก็มีข้อมูลมาแนะนำให้ลองทำด้วย 10 วิธีการฝึกภาษาอังกฤษด้วยตนเอง ซึ่งคิดว่าไม่น่าจะยากเกินไปเลยครับ หวังว่าข้อมูลเหล่านี้คงจะมีประโยชน์ ให้หลายๆคนที่กำลังสับสนในภาษาอังกฤษ ได้ฝึกฝนพัฒนากันให้มากยิ่งขึ้น คราวนี้คงต้องลาไปก่อน แล้วคราวหน้าจะหาเทคนิคดีๆมาฝากกันอีกนะครับ

ที่มา : แหล่งที่มา: settlementatwork,เครดิต www.wegointer.com

10. เราชอบอะไร ทำสิ่งนั้นเป็นภาษาอังกฤษ

ความชอบ ความรัก มันทำให้เราสามารถทำอะไรก็ได้อย่างมีความสุขและไม่น่าเบื่อ ถ้าชอบทำอาหาร ก็เปลี่ยนเมนูอาหารเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าชอบเล่นกีฬาหรือดนตรี ก็ดาวน์โหลดวิดีโอการฝึกซ้อมแบบภาษาอังกฤษมาดู ถ้าชอบเล่นเกมก็ฝึกอ่านคู่มือเกมภาษาอังกฤษ เราก็จะหลงรักมันโดยไม่รู้ตัวเลยล่ะ

9. ลงทุนซื้อ Dictionary ดีๆสักเล่ม

นี่คือการลงทุนที่คุ้มค่า แม้จะมีราคาค่อนข้างแพงไปบ้าง แต่ก็ช่วยให้เราสามารถเข้าใจและพัฒนาภาษาไปได้ดีกว่า (สำหรับคนทุนน้อยจริงๆ ข้อนี้อาจจะข้ามไปได้บ้าง)

8. ทำลิสต์ต่างๆให้เป็นภาษาอังกฤษ

ขั้นตอนนี้อาจจะลำบากในตอนแรก แต่ถ้าเราลองลิสต์ต่างๆให้เป็นอังกฤษจะช่วยเราให้คุ้นเคยได้มากขึ้น อย่างเช่น ลิสต์กิจกรรมที่ต้องทำพรุ่งนี้ ลิสต์ตารางไปเที่ยวพักผ่อน หรือลิสต์ของที่ต้องซื้อเข้าบ้าน ให้เป็นภาษาอังกฤษซะ

7. ใช้คำต่างๆเป็นภาษาอังกฤษมากขึ้น

วิธีนี้หลายคนอาจจะมองดูว่ากระแดะหรือเปล่า? จริงๆแล้วเป็นเพียงการใช้คำให้ถูกกับภาษาอังกฤษมากขึ้น โดยพยายามพูดอังกฤษบ่อยๆในศัพท์ที่ใช้ได้ เช่นเปลี่ยนคำว่ามือถือ เป็น Smart Phone เปลี่ยนคำว่า นาฬิกาปลุก เป็น Alarm เป็นต้น

6. เล่นเกมที่ใช้คำภาษาอังกฤษบ่อยๆ

สมัยนี้มีเทคโนโลยีอย่างสมาร์ทโฟน เราจึงสามารถหาแอพพลิเคชั่นเกมภาษาอังกฤษ เช่น Crosswords มาเล่นแก้เบื่อในยามว่างได้ ทีนี้ก็ลองเปลี่ยนจากแชทไลน์มาเป็นเล่นเกมแนวนี้แทน จะช่วยพัฒนาได้อีกทาง

5. ดูทีวีและภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ

การดูภาพ ฟังเสียง และอ่านซับไตเติ้ลภาษาไทยไปพร้อมๆกัน ช่วยฝึกประสาทการรับรู้ในหลายๆช่องทาง ซึ่งต่อไปก็สามารถเปลี่ยนจากซับไทย เป็นซับอังกฤษ ไปจนถึงขั้นปิดซับได้ในท้ายที่สุด

4. แปะกระดาษโน้ตบนสิ่งของต่างๆ

วิธีนี้จะเหมือนการเอาข้าศึกมาล้อมเมือง การแปะชื่อสิ่งของต่างๆที่เราใช้เป็นภาษาอังกฤษ ช่วยทำให้ชีวิตได้คุ้นเคยกับคำเหล่านี้มากขึ้น และเป็นการฝึกอ่านฝึกความเข้าใจไปในตัวด้วย

3. ไม่จำเป็นต้องแปลเป็นภาษาไทย

การฝึกภาษาอังกฤษให้เข้าใจนั้น ไม่จำเป็นที่เราต้องอ่านหรือฟังแล้วแปลเป็นภาษาไทย อาจจะสงสัยว่าไม่แปลเป็นไทยแล้วจะเข้ะาใจยังไง การไม่พยายามแปลเป็นไทยจะช่วยให้เราสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วขึ้นด้วย

2. ฟังวิทยุให้ชิน

การฟังวิทยุนั้นจะช่วยให้เราได้ฟังทั้งเสียงคนพูด รวมถึงเสียงร้องเพลง เป็นการฝึกหูในชินกับภาษาในหลายๆรูปแบบอีกวิธีหนึ่งด้วย

1. ตามอ่านอะไรที่เราสนใจ

ตอนเด็กๆหลายคนอาจจะไม่ชอบภาษาอังกฤษ เพราะโดนครูบังคับให้อ่านเรื่องอะไรก็ไม่รู้ แต่ลองเริ่มอ่านเรื่องที่เราสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูน กีฬา ดนตรี ข่าวซุบซิบดาราฝรั่ง หรือมุมขำๆในหนังสือพิมพ์ จำไว้เลยว่าไม่มีอะไรไร้สาระ เพราะเรากำลังเรียนรู้อยู่

พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส

พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส (ฝรั่งเศสLouis XVI de France; หลุยส์แซซเดอฟร็องส์) (5 กันยายน ค.ศ. 1754 – 21 มกราคม ค.ศ. 1793) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งฝรั่งเศสและนาวาร์ ในช่วงต้นของสมัยใหม่ จนกระทั่ง ค.ศ. 1791 ทรงสูญเสียราชบัลลังก์แห่งนาวาร์และครองราชย์ในฐานะพระมหากษัตริย์แห่งฝรั่งเศส ในที่สุดในปี ค.ศ. 1792 ทรงถูกโค้นราชบัลลังก์และสำเร็จโทษในช่วงของการปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งพระบิดาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 คือหลุยส์ โดแฟ็งแห่งฝรั่งเศส ผู้เป็นพระโอรสเพียงพระองค์เดียวและทายาทผู้มีสิทธิโดยตรงในพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ทรงสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1765 ส่งผลให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ต่อจากพระอัยกาเจ้า (พระเจ้าหลุยส์ที่ 15) ในปี ค.ศ. 1774
ช่วงต้นรัชกาลได้รับการบันทึกไว้ว่าทรงพยายามที่จะปฏิรูปฝรั่งเศสอันเป็นผลมาของแนวคิดจากยุคเรืองปัญญา ซึ่งรวมถึงความพยายามในการล้มเลิกระบบมาเนอร์, ระบบตายย์ (ฝรั่งเศสTaille; การจัดเก็บภาษีที่ดินคำนวณจากขนาดที่ดินที่ถือครอง), และสนับสนุนขันติธรรมไปในแนวทางที่ออกห่างจากคริสตจักรโรมันคาทอลิก ขุนนางฝรั่งเศสตอบสนองต่อการปฏิรูปนี้ในแนวทางที่เป็นปรปักษ์และประสบความสำเร็จในการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทำให้ความไม่พอใจในหมู่สามัญชนเพิ่มมากขึ้น พระเจ้าหลุยส์ยังทรงเข้าไปพัวพันกับสงครามประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกาด้วยการประกาศให้ฝรั่งเศสเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ฝรั่งเศสมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างมากจนนำไปสู่การมีหนีสินล้นพ้น
วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและการคลังที่ตามมามีส่วนทำให้ความนิยมใน การปกครองระบบโบราณ เสื่อมลง ความไม่พอใจในหมู่ประชาชนชั้นกลางและล่างของฝรั่งเศสส่งผลให้การต่อต้านอภิสิทธิ์ชนและระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เพิ่มมากขึ้น ที่ซึ่งพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระราชินีมารี อ็องตัวแน็ต ทรงถูกมองว่าเป็นตัวแทนของระบอบการปกครองนี้ ในปี ค.ศ. 1789 คุกบาสตีย์ถูกทลายลงระหว่างการก่อจลาจลในปารีส และการปฏิวัติฝรั่งเศสก็ได้เริ่มต้นขึ้น ก่อให้เกิดสถาบันทางนิติบัญญัติแห่งชาติ การปฏิวัติยังสถาปนาระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นเพียงระบอบในนามในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16
แม้ว่าจะมีการสนับสนุนรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส ค.ศ. 1791 ความใฝ่พระราชหฤทัยที่จะทำให้การปฏิวัติเลือนหายไปด้วยการแทรกแซงทางการทหารจากชาติมหาอำนาจในยุโรปก็ประสบความล้มเหลว ตามมาด้วยเหตุการณ์ความพยายามเสด็จหนีออกจากฝรั่งเศสซึ่งทำให้เกิดความไม่พอใจองค์กษัตริย์เป็นวงกว้างทั่วฝรั่งเศส ต่อมาพระราชอำนาจของพระเจ้าหลุยส์ถูกโค้นลงอย่างเป็นทางการจากเหตุการณ์สิบสิงหาคมที่มีการบุกทำลายพระราชวังตุยเลอรีส์ พระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ถูกจองจำในป้อมปราการแห่งหนึ่ง จนเมื่อมีการสถาปนาสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 1 ขึ้น พระองค์ถูกกล่าวหาว่าทรยศต่อประเทศชาติโดยสมัชชาแห่งชาติฝรั่งเศส ต่อมาพบว่ามีความผิดจริงและทรงถูกตัดสินให้สำเร็จโทษด้วยการปลงพระชนม์ ทรงถูกเรียกขานในแบบ ซีโตเยน (สามัญชน) ว่า หลุยส์ กาเปต์ ซึ่งนามสกุลนี้มีที่มาจากการที่พระองค์ทรงสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์กาเปเซียง ทรงถูกบั่นพระเศียรด้วยเครื่องกิโยตีนในวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 1793

ทรงพระเยาว์

หลุยส์โอกุสต์เดอฟร็องส์ ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งดยุกแห่งแบร์รีตั้งแต่แรกประสูติ มีประสูติกาล ณ พระราชวังแวร์ซาย ทรงเป็นโอรสองค์ที่สามจากทั้งหมดเจ็ดพระองค์ของหลุยส์ โดแฟ็งแห่งฝรั่งเศส เป็นพระราชนัดดาในพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศสกับพระราชินีมารี เลสซ์ไซน์สกา พระราชมารดามีพระนามว่า เจ้าหญิงมาเรีย โจเซฟาแห่งแซกโซนี ซึ่งเป็นพระนัดดาในพระเจ้าออกัสตัสที่ 3 แห่งโปแลนด์ เจ้านครรัฐผู้คัดเลือกแห่งแซกโซนีและพระมหากษัตริย์โปแลนด์
เจ้าชายหลุยส์โอกุสต์ทรงเผชิญกับความยากลำบากในวัยเยาว์ เนื่องจากว่ากันว่าพระบิดาและพระมารดาของพระองค์ทรงทอดทิ้งและให้ความสำคัญกับพระเชษฐา เจ้าชายหลุยส์ ดยุกแห่งบูร์กอญ ซึ่งมีพระจริยวัตรและพระปรีชาสามารถมากกว่า แต่ต่อมาก็สิ้นพระชนม์ลงในปี ค.ศ. 1761 ด้วยพระชนมายุ 9 พรรษา เจ้าชายหลุยส์โอกุสต์มีพระพลานามัยแข็งแรงแต่ทรงขี้อายมาก มีพระปรีชาในด้านการเรียนและทรงแตกฉานในภาษาละติน, ประวัติศาสตร์, ภูมิศาสตร์ และดาราศาสตร์ นอกจากนี้ยังทรงใช้ภาษาอิตาลีและภาษาอังกฤษได้อย่างเชี่ยวชาญ โปรดกิจกรรมที่ใช้พละกำลังเช่นการล่าสัตว์กับพระอัยกา หรือการหยอกเล่นกับพระอนุชา เจ้าชายหลุยส์สตานิสลาส์ เคาท์แห่งโพรว็องส์ และเจ้าชายชาร์ลส์-ฟีลีปป์ เคาท์แห่งอาร์ตัวส์ นอกจากนี้ยังทรงได้รับแรงสนับสนุนในงานอดิเรกส่วนพระองค์อื่นๆ เช่น การประกอบนาฬิกา ซึ่งถูกมองว่าเป็นประโยชน์กับผู้เยาว์
จากการสิ้นพระชนม์ของพระบิดาด้วยวัณโรคในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1765 เจ้าชายหลุยส์โอกุสต์ผู้มีพระชนมายุได้เพียง 11 พรรษา ก็ได้เฉลิมพระยศใหม่ขึ้นเป็นโดแฟ็งพระมารดาของพระองค์ผู้ทรงไม่เคยฟื้นจากความอาดูรในการสูญเสียพระสวามีก็ได้สิ้นพระชนม์ลงในวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 1767 ด้วยวัณโรคเช่นเดียวกัน การศึกษาอย่างเข็มงวดในแบบอนุรักษนิยมจากดยุกแห่งโวกียงซึ่งมีฐานะเป็น ข้าหลวงแห่งราชโอรสราชธิดาฝรั่งเศส (ฝรั่งเศสGouverneur des Enfants de France; กูแวร์เนอเดส์อ็องฟ็องต์สเดอฟร็องส์) ตั้งแต่ ค.ศ. 1760 จนกระทั่งทรงอภิเษกสมรสในปี ค.ศ. 1770 ไม่ได้ช่วยเตรียมพระองค์ในการขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ต่อจากพระอัยกาในปี ค.ศ. 1774 เลย การศึกษาที่ทรงได้รับเป็นการผสมปนเปกันของวิชาต่างๆ โดยเฉพาะศาสนา, จริยธรรม และมนุษยศาสตร์  ทั้งนี้พระอาจารย์อาจจะมีส่วนในการปลุกปั้นพระองค์ให้ทรงกลายมาเป็นกษัตริย์ผู้ไร้ซึ่งความหนักแน่นเฉียบขาดอีกด้วย เช่นที่ อับเบ แบร์ตีแยร์ พระอาจารย์ของพระองค์ชี้แนะว่าความขลาดกลัวคือคุณค่าในตัวกษัตริย์ผู้แข็งแกร่ง หรือที่อับเบ โซลดีนี ผู้รับฟังคำสารภาพบาป ได้ชี้แนะไว้ว่าอย่าทรงปล่อยให้ผู้คนอ่านพระราชหฤทัยของพระองค์ได้

ชีวิตส่วนพระองค์

มารี อ็องตัวแน็ต สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศสกับพระราชโอรส-ธิดาองค์โต 3 พระองค์แรก, เจ้าหญิงมารี-เตเรส, เจ้าชายหลุยส์-ชาร์ลส์ และเจ้าชายหลุยส์-โจเซฟ แต่เดิมแล้วในพระอู่ควรจะมีเจ้าหญิงโซฟี เฮเลน เบียทริกซ์แห่งฝรั่งเศส แต่ภาพนี้ถูกวาดขึ้นหลังจากการสิ้นพระชนม์ขององค์หญิง โดยเอลีซาแบ็ต-หลุยส์ วีเฌ-เลอเบริง
พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ขณะมีพระขนมายุ 20 พรรษา
เจ้าหญิงโซฟี เฮเลน เบียทริกซ์แห่งฝรั่งเศส
ในวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1770 ขณะมีพระชนมายุ 15 พรรษา เจ้าชายหลุยส์โอกุสต์ทรงอภิเษกกับอาร์คดัชเชสพระชนมายุ 14 พรรษาจากราชวงศ์ฮับส์บูร์กพระนามว่า มาเรีย แอนโทเนีย (รู้จักกันดีในชื่อฝรั่งเศสของพระองค์ว่า มารี อ็องตัวแน็ต) พระญาติชั้นที่สองและพระราชธิดาองค์เล็กสุดในจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 1 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์กับจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซา พระชายาผู้น่าเกรงขาม
การอภิเษกสมรสในครั้งนี้ต้องเผชิญกับการต่อต้านบางส่วนจากสาธารณชนชาวฝรั่งเศส จากที่การเป็นพันธมิตรกับออสเตรียได้นำพาฝรั่งเศสเข้าสู่ความหายนะในสงครามเจ็ดปี ทำให้ฝรั่งเศสพ่ายแพ้แก่สหราชอาณาจักรทั้งในแผ่นดินยุโรปและอเมริกาเหนือ โดยในช่วงของการอภิเษกสมรสครั้งนี้ ประชาชนชาวฝรั่งเศสมองสัมพันธไมตรีกับออสเตรียด้วยความชิงชัง และพระนางมารี อ็องตัวแน็ตก็ทรงถูกมองว่าเป็นสตรีชาวต่างชาติผู้ไม่เป็นที่พึงประสงค์  สำหรับคู่รักราชนิกุลผู้เยาว์ทั้งสองแล้ว การอภิเษกครั้งนี้เริ่มแรกดูชื่นมื่นแต่ห่างเหิน - ความเขินอายของเจ้าชายหลุยส์โอกุสต์หมายความว่าพระองค์จะทรงล้มเหลวในการรวมกันของสองราชวงศ์ครั้งนี้ สร้างความทุกข์ใจให้แก่พระชายาอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นคือความกังวลว่าจะทรงถูกบงการโดยพระชายาเพื่อประสงค์บางอย่างของพระบรมวงศ์ฮับส์บูร์ก ก็ยิ่งกดดันให้ทรงวางพระองค์เย็นชาต่อพระชายาในที่สาธารณะมากขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตามเมื่อกาลเวลาล่วงเลยผ่านไป ทั้งสองพระองค์ก็ทรงใกล้ชิดสนิทสนมมากขึ้น จนมีรายงานว่าในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1773 สายสัมพันธ์ได้แนบแน่นจนผสานทั้งสองพระองค์เข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์ แต่ก็ยังไม่ปรากฏอย่างชัดจริงจนกระทั่งปี ค.ศ. 1777
อย่างไรก็ดี ทั้งสองพระองค์ทรงล้มเหลวที่จะมีรัชทายาทร่วมกันเป็นเวลาหลายปีนับจากนี้ สร้างความกดดันเพิ่มขึ้นให้แก่การอภิเษกสมรส[8] ในขณะที่สถานการณ์ได้เลวร้ายลงไปอีกเมื่อจุลสารสิ่งพิมพ์ลามกอนาจาร ลีเบลล์ (ฝรั่งเศสlibelles) ได้เสียดสีล้อเลียนทั้งคู่โดยการตั้งคำถามว่า "กษัตริย์จะทรงทำได้ไหม? กษัตริย์จะทรงทำได้ไหม"[9]
ในช่วงเวลานั้นมีการถกเถียงถึงสาเหตุของความล้มเหลวในช่วงต้นของการมีองค์รัชทายาท และก็ยังทรงเป็นเช่นนั้นไป หนึ่งในข้อเสนอแนะก็คือเจ้าชายหลุยส์โอกุสต์ต้องทรงทุกข์ทรมานจากความเสื่อมสมรรถภาพทางสรีรวิทยา[10] ส่วนมากคาดเดากันว่าเกิดจากพระอาการหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศไม่เปิดในวัยพระเยาว์ (อังกฤษphimosis) ซึ่งคำเสนอแนะนี้ถูกเสนอขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1772 โดยเหล่าแพทย์หลวง[11] ด้านเหล่านักประวัติศาสตร์ยึดมั่นต่อมุมมองนี้ว่าทรงได้เข้ารับการสุหนัต[12] (วิธีการรักษาทั่วไปของอาการหนังหุ้มปลายไม่เปิด) เพื่อบรรเทาพระอาการหลังจากเป็นเวลาผ่านไปเจ็ดปีหลังการอภิเษกสมรส แพทย์หลวงประจำพระองค์ไม่เห็นชอบกับการผ่าตัดมากนัก - การผ่าตัดมีความละเอียดอ่อน, มีความชอกช้ำ และง่ายซึ่งการ "สร้างความเสียหายร้ายแรง" ต่อบุรุษวัยฉกรรจ์ ข้อถกเถียงเรื่องพระอาการข้างต้นและผลที่ตามมาจากการผ่าตัดส่วนมากสามารถพบเห็นได้ในงานเขียนของสเตฟาน ชไวจ์ นักเขียนชาวออสเตรีย[13]
อย่างไรก็ตาม เป็นที่ยอมรับในหมู่นักประวัติศาสตร์ยุคใหม่ส่วนมากว่าพระองค์มิทรงเคยเข้ารับการผ่าตัด[14][15][16] - ตัวอย่างเช่นในช่วงปลาย ค.ศ. 1777 ราชทูตปรัสเซียนามว่า บารอน โกลต์ซ รายงานว่าพระมหากษัตริย์แห่งฝรั่งเศสทรงปฏิเสธรับการผ่าตัดอย่างแน่นอน[17] ข้อเท็จจริงก็คือเจ้าชายถูกประกาศว่ามีพระสมรรถภาพสมบูรณ์อย่างเยี่ยมยอดต่อการมีเพศสัมพันธ์ ยืนยันโดยจักรพรรดิโจเซฟที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และในช่วงที่ทรงถูกกล่าวอ้างถึงการเข้ารับการผ่าตัด พระองค์เสด็จออกไปล่าสัตว์แทบจะทุกวันตามคำบันทึกส่วนพระองค์ ซึ่งหมายความว่าการทรงเข้ารับการผ่าตัดไม่มีโอกาสที่จะเป็นไปได้เลย อย่างน้อยที่สุดก็ไม่น่าจะทรงสามารถเสด็จออกไปล่าสัตว์ในช่วงสองสามสัปดาห์หลังจากการผ่าตัดนั้น ทั้งนี้ประเด็นถกเถียงถึงความสมบูรณ์ทางสรีระส่วนพระองค์ถูกนำไปประกอบกับปัจจัยอื่นแล้ว ซึ่งก็ยังคงเป็นที่โต้แย้งและถกเถียงมาจนถึงปัจจุบัน
ในช่วงระยะต่อมา แม้ว่าจะประสบกับความยากลำบากมาก่อนหน้านี้ แต่ในท้ายที่สุดทั้งสองพระองค์ก็ทรงมีรัชทายาทสืบเชื้อพระวงศ์รวมสี่พระองค์ ได้แก่
  • เจ้าหญิงมารี เตเรส ชาร์ลอตต์ (19 ธันวาคม ค.ศ. 1778 – 19 ตุลาคม ค.ศ. 1851)
  • เจ้าชายหลุยส์ โจเซฟ ซาวีแยร์ ฟร็องซัวส์, โดแฟ็งแห่งฝรั่งเศส (22 ตุลาคม ค.ศ. 1781 – 4 มิถุนายน ค.ศ. 1789)
  • เจ้าชายหลุยส์ ชาร์ลส์ (พระเจ้าหลุยส์ที่ 17 แห่งฝรั่งเศสในอนาคต ผู้ทรงเป็นกษัตริย์แต่เพียงในนาม) (27 มีนาคม ค.ศ. 1785 – 8 มิถุนายน ค.ศ. 1795)
  • เจ้าหญิงโซฟี เฮเลน เบียทริกซ์, สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ (9 กรกฎาคม ค.ศ. 1786 – 19 มิถุนายน ค.ศ. 1787)
คาร์ล ชอว์ เขียนในหนังสือ Royal Babylon: The Alarming History of European Royalty ของเขาว่า "ว่ากันว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เป็นที่จดจำจากการเป็นพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศสพระองค์แรกที่ทรงริเริ่มการใช้มีดและส้อม อีกทั้งการที่ทรงสรงน้ำและสีพระทนต์น้อยครั้ง" ท้ายที่สุดราชทูตอิตาลีประจำราชสำนักฝรั่งเศสผู้นี้เขียนไว้ตอนท้ายประมาณพระราชกิจวัตรขององค์กษัตริย์ไว้ดั่งกับ "ความสนพระราชหฤทัยในสุขอนามัยส่วนพระองค์อันแปลกประหลาด"

ช่วงการปฏิวัติ

พระเจ้าหลุยส์ตอนการปกครองนั้นในช่วงการปฏิวัติพระเจ้าหลุยส์พร้อมพระโอรสและพระธิดาต้องทรงหลบหนีไปพระราชวังตุยเลอรีส์ชั่วคราว และจุดเป็นอีกอย่างพระเจ้าหลุยส์สั่ง เนคเกอร์ช่วย เขาเป็นคนโปรดของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 พระเจ้าหลุยส์ถูกแนะนำจากพระชายาให้ขอความช่วยเหลือจากออสเตรียและปรัสเซียโดยถูกจับได้ที่ วาแรน์และถูกนำตัวกลับปารีส

10 อันดับแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติของโลก

10.The Tasmania Island

Tasmania Island เป็นสวรรค์ทางธรรมชาติบนขอบโลก Tasmania เป็นเกาะหนึ่งของออสเตรเลีย อยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ไปทางใต้ของรัฐวิคตอเรียประมาณ 240 กม.ในมหาสมุทรแปซิฟิคใต้ เป็นเกาะที่มีธรรมชาติสวยงาม มีชีวิตสัตว์ป่ามากมาย หาดทรายที่บริสุทธิ์ ตลอดจนรีสอร์ทที่สวยงาม เหมาะสำหรับการพักผ่อนเป็นอย่างยิ่ง

9.Lake Baikal

ทะเลสาบไบคาล ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของไซบีเรีย ในรัสเซีย ทางตะวันตกของภูเขา Yablonovy Mountains ไบคาลเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในยูเรเซีย มีพื้นที่ราว 31,494 ตารางกิโลเมตร และทะเลสาบไบคาลเป็นทะเลสาบที่ลึกที่สุดในโลกด้วย โดยมีส่วนที่ลึกที่สุด 1,620 เมตรทะเลสาบไบคาล เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำที่แปลกๆหายากมากมาย รวมไปถึงแมวน้ำไบคาล, omul salmon, และสัตว์หายากอื่นๆ ทะเลสาบนี้มีฉายาว่า “ไข่มุกแห่งไซบีเรีย” จุดที่นักท่องเที่ยวชอบไปชมมากที่สุดของที่นี่คือ the Olkhon Island

8.The Plitvice Park

พลิตวิคปาร์ค เป็นอุทยานที่เก่าแก่ที่สุดทางตะวันตกเฉียงใต้ของยุโรป ตั้งอยู่ที่ประเทศโครเอเชีย ซึ่งตอนนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อที่สุดของประเทศด้วย น้ำตกพลิตวิคเป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาบคาร์สติค (karstic lakes) เป็นแหล่งดึงดูดนักท่องให้มาที่นี่ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 แล้วพลิตวิคเป็นจุดเชื่อมต่อของสายน้ำจากทะเลสาปทั้ง 16 แห่ง เข้าด้วยกัน อีกทั้งยังมีผืนป่าที่สวยงาม ทำให้ พลิตวิคปาร์คเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามที่สุดของยุโรป อุทยานแห่งชาติพลิตวิคเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติที่ประกอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่หลากหลายพันธุ์ เช่น ต้นบีช (beech), spruce, and fir trees, and features a mixture of Alpine และ พืชแถบเมดิเตอเรเนียน

7.Jiuzhaigou River

Jiuzhaigou River ด้วยความสวยงามเหมือนแดนสวรรค์ ท่ามกลางธรรมชาติกลางเทือกเขาของ Aba Tibetan ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัด เสฉวน ด้วยความงดงานมของสายน้ำจิ่วใจ้โกจึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติอีกแห่งหนึ่ง เพราะลักษณะความสวยงามของพื้นน้ำในหุบเขาแห่งนี้ ทีมีสี สรร สวย ใส ซึ่งเป็นคุณสมบิพิเศษของที่นี่ ซึ่งไม่สามารถหาชมได้จากที่อื่นใดในโลก จิ่วไจ้โกได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาที่นี่ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีนเอง จิ่วไจ้โกยังได้รับการขนานนามว่าเป็นมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลก นอกจากนั้นที่นี่ยังเป็นที่อยู่อาศัยของนกกว่า 140 สายพันธุ์ ตลอดจนสัตว์โลกยุคโบราณอย่างหมีแพนด้าด้วย

6.Yellowstone National Park

พื้นที่อนุรักษ์ที่กว้างใหญ่ไพศาลของอเมริกา ที่มีพื้นที่ 8,982 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมไปถึงทางตะวันออกของ Idaho, ทางใต้ของ Montana, และทางตะวันตกเฉียงเหนือของ Wyoming พื้นที่ส่วนใหญ่ของอุทยานแห่งชาติ Yellow Stone เป็นพื้นที่ราบสูงในเทือกเขาร้อกกี้ เรารู้จัก Yellow Stone Park เพราะลักษณะพิเศษทางภูมิศาสตร์ของที่นี่ รวมไปถึงแหล่งน้ำพุร้อนกว่า 200 แห่ง เพราะความกว้างใหญ่ของ The Yellowstone National Park จึงทำให้นักท่องเที่ยวมาที่นี่ด้วยจุดสนใจแตกต่างกันออกไป 10 แหล่งท่องเที่ยวใน Yellow Stone ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด

5.Bali Island

บาหลี คือจังหวัดหนึ่งของอินโดนีเซีย และเป็นส่วนหนึ่งของกาะ The Lesser Sunda Islands อยู่ห่างจากเกาะชวา 3.2 กม.ทางตะวันออก มีพื้นที่ 5,560 ตารางกิโลเมตร มียอดเขาสูงถึง 3,142 เมตร ซึ่งเดิมเป็นภูเขาไฟมาก่อน บาหลีมีพื้นที่เป็นเขา ทะเล และทุ่งราบในทางใต้ มีฝนตกหนักในหน้ามรสุม ป่าของที่นี่มีทั้งเสือและกวาง บาหลีเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปมากที่สุดของอินโดนีเซีย เป็นที่รับรู้กันถึงศิลปะชั้นสูง เช่นการเต้นรำ รูปปัน การแกะสลัก ภาพวาด เครื่องหนัง งานโลหะ ตลอดจนดนตรี สิ่งเหล่านี้ได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้าไปบาหลีจำนวนมากในแต่ละปี

4.Barbados

Barbados แหล่งท่องเที่ยวที่แสนวิเศษณ์ในทะเลแคลิเบียนนี้เหมาะแก่การไปพักผ่อน สร้างอัลบั้มแห่งความทรงจำ บาบาดอส คือเกาะที่ใหญ่ที่สุดในทะเลแคลิเบียน เป็นกะที่เต็มไปด้วยถ้ำ เหมาะสำหรับนักผจญภัยที่ชอบสถานที่แบบนั้น
ถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในเกาะบาบาดอส คือ Harrison Cave ซึ่งเป็นถ้ำหินปูน แต่ละถ้ำที่นี่มีสิ่งที่สวยงามแตกต่างกันไป เช่น the Animal Flower Cave that provides a wonderful sight of the animal flowers with interesting rock formations, rivers and waterfalls

3.Seychelles

สาธารณรัฐ Seychelles ที่ประกอบไปด้วยเกาะ 115 เกาะ ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ทางตะวันออกของอัฟริกา ชายหาดของเซเชลเลส ไม่ใช่เฉพาะหาดทรายกับแสงแดดเท่านั้น แต่เป็นมรดกโลกที่เรารู้กันในนาม “สวนของเอเดน” (Garden of Eden) ทุกอย่างบนเกาะล้วนแล้วแต่สิ่งเพอร์เฟคทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติที่สวยงาม สัตว์ป่า ผู้คน และอากาศอันบริสุทธิ์ ด้วยความสมบูรณ์แบบของที่นี่ เซเชเลส จึงดึงดูดนักท่องเที่ยวผู้อยากรู้อยากเห็น และคู่รักให้มาฮันนี่มูนกันที่นี่อย่างมากมายในแต่ละปี ที่นี่จะเป็นสถานที่ที่คุณจะหลงรักเมื่อแรกพบเลยทีเดียว

2.The Preikestolen Cliff

นอรเวย์ มีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามมากมาย แต่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ the Fjords and Preikestolen cliff หน้าผาที่มีพื้นที่ราบ 25 ตารางเมตร และสูง 604 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นสถานที่ที่น่าทึ่งที่สุด เมื่อคุณได้ไปนั่งถ่ายภาพบนนั่น บนแผ่นหินแห่ง 25 ตร.เมตรนี้ นักท่องเที่ยวจะสามารถมองเห็นพื้นที่รอบๆ ทั้งท้องฟ้าและโขดหิน ในวันที่พระจันทร์เต็มดวงที่ Fjords and the Preikestolen cliff จะเป็นช่วงเวลาแห่งความทรงจำที่โรแมนติกที่สุด

1.The Bora-Bora Island

โบรา โบร่า คือเกาะในหมู่เกาะ Leeward Island ของ the Society Islands of French Polynesia ในมหาสมุทรแปซิฟิคใต้ ห่างจาก Tahiti ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 225 กม.เป็นเกาะที่มีขนาด กว้าง 4 กม. และยาว 6 กม เกาะโบรา โบรา เป็นเหมือนสวรรค์บนดิน ซึ่งมีพื้นหญ้าที่เขียวชอุ่มเสมือนพรมที่เชิงเขา ทะเลที่ส่องประกายระยิบระยับ พื้นทรายสีเงิน สิ่งเหล่านี้จะตรึงใจนักท่องเที่ยวตลอดไปเมื่อพบเห็น