วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556

จานดังเด็ดนานาชาติในค่ำคืนคริสมาสต์แสนอร่อย

จานดังจานเด็ดนานาชาติ ในค่ำคืนคริสมาสต์แสนอร่อย

ช่วงนี้ผมครึ้มเป็นพิเศษทีเดียวครับ สำหรับเทศกาลคริสต์มาส  จริงๆ เป็นผมพุทธศาสนิกชนครับ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทศกาลคริสต์มาสของชาวคริสต์ก็มีอะไรสวยๆ ให้ดูมาก มีการประดับประดาไฟสวยๆ เพลงประจำเทศกาล ทำให้มนุษย์พุทธอย่างเราๆ ก็อดชื่นชมมิได้เลยทีเดียวครับ

สำหรับประวัติการเฉลิมฉลองคริสต์มาสต์อย่างคร่าวๆ เริ่มจากทางประเทศตะวันตกเริ่มฉลองการประสูติของพระเยซู ในวันที่ 25 ธันวาคมมาตั้งแต่ ค.ศ.354 เป็นอย่างช้า เหตุที่เลือกวันนี้ เพราะตรงกับงานฉลองเทพ และฤดูกาลในสมัยนั้น เช่น วันเหมายันซึ่งดวงอาทิตย์โคจรมาอยู่ในจุดใต้สุดในฤดูหนาวครับ  ที่สำคัญสิ่งที่น่าสนใจมากเป็นพิเศษ หนีไม่พ้น อาหารอร่อยๆ ในช่วงเทศกาลนี้ เรียกได้ว่าน่าหม่ำทุกอย่าง แถมเป็นวัฒนธรรมที่น่ารู้มากๆ ครับ


 ซึ่งสำหรับอาหารในเทศกาลเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสนั้น ถ้าเป็นแบบกลางๆ ที่ทราบกันดีก็คือมี "ไก่งวงอบ" เป็นพระเอกของโต๊ะครับ โดยชาวตะวันตกจะมีธรรมเนียมให้ชายผู้อาสุโสที่สุดของบ้าน เป็นคนตัดแบ่งไก่งวงให้แก่สมาชิกภายในบ้านแต่ก็จะมีบางบ้านที่อาจจะไม่ทำไก่ งวงอบแต่จะทำไก่งวงย่าง (Roast Tom Turkey King David) ก็ได้ ส่วนของหวานสุดฮิตตจะเป็น "คริสต์มาสพุดดิ้ง" หรือก็คือเค้กผลไม้นั่นแหละครับ แต่พิเศษตรงที่ใช้วิธีนึ่งแทนการอบแบบปกติ เมื่อถึงเวลายกเสิร์ฟจะมีการราดบรั่นดีเล็กน้อย แล้วจุดไฟเพื่อเพิ่มความหอมให้กับพุดดิ้ง (กลืนน้ำลายเอื๊อก!) และในค่ำคืนนี้ เขาจะมีเครื่องดื่มสุดพิเศษประจำเทศกาล ได้แก่ "คริสต์มาสไวน์" ถือเป็นเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมในเทศกาลวันคริสต์มาสเช่นนี้มาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ในวันคริสต์มาสของทุกปีนั้นอยู่ในช่วงหน้าหนาว ชาวตะวันตกจึงนิยมดื่มไวน์ เพราะถือว่าเป็นเครื่องดื่มที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ในขณะที่อังกฤษเองนอกจากดื่มไวน์แล้ว ยังมี "วาสเซล"  ซึ่งเป็นเครื่องดื่มร้อนที่ผสมแอลกอฮอล์และเครื่องเทศ ไว้สำหรับดื่มในเทศกาลวันต์มาสนี้เพิ่มขึ้นมาอีกด้วย

นอกจาก นี้ ยังมีวัฒนธรรมด้านอาหารในเทศกาลคริสต์มาสที่แต่ละประเทศมีไม่เหมือนกันด้วย ครับ ซึ่งน่าสนใจมากๆ เมนูประเทศไหนเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง ตามไปดูกันเล๊ยยยย...ยยย

จานดังจานเด็ดนานาชาติ ในค่ำคืนคริสมาสต์แสนอร่อย
ris a la mande


เปิดฉากกันที่ เดนมาร์ก เริ่มต้นด้วยของหวานจานเด็ด จากเดนมาร์กที่มีชื่อว่า Ris a la mande  ซึ่งชาวเดนิชรับประทานกันในช่วงเทศกาลคริสต์มาส จนกลายเป็นประเพณีสำคัญ เรียกได้ว่า เป็นเรื่องประหลาดมาก ถ้าใครผ่านเทศกาลคริสต์มาสไปโดยปราศจากของหวานเมนูนี้

Ris a la mande ทำจากข้าวเมล็ดกลมต้มกับนมจนแฉะคล้ายข้าวเปียก จากนั้น นำมาคลุกกับวิปครีม ใส่น้ำตาลและเกลือลงไปเล็กน้อย ตามด้วยเมล็ดอัลมอนด์ทุบจนได้ข้าวแฉะๆ ที่มีรสชาติหอมมัน นุ่มละมุนลิ้น ต่อมาก็นำไปแช่เย็นก่อนรับประทาน คู่กับซอสสีแดง ที่ทำจากน้ำเชอรี่ รสชาติออกเปรี้ยวหวานตัดความเลี่ยนของตัวข้าวได้อย่างดีเลิศ  เสน่ห์ของประเพณีการรับประทาน Ris a la mande ที่เด็กๆ ชอบกันเป็นพิเศษก็คือ แม่ครัวจะใส่เมล็ดอัลมอนด์ (ที่ยังไม่ได้ทุบ) ลงไปในหม้อข้าวต้มก่อนที่จะตักแบ่งให้สมาชิกครอบครัวซึ่งมารวมตัวกันเพื่อ งานนี้โดยเฉพาะ และหากคนไหนได้อัลมอนด์ (เต็มเมล็ด) จะถือว่าเป็นผู้โชคดีได้รับของขวัญ ซึ่งเจ้าภาพเตรียมไว้ แต่มีข้อแม้ว่า ห้ามเผลอเคี้ยวและกลืนไปซะก่อน ไม่งั้นอด (ผิดกติกา)

จานดังจานเด็ดนานาชาติ ในค่ำคืนคริสมาสต์แสนอร่อย
Buche de Noel


ในขณะที่เมืองน้ำหอมอย่าง "ฝรั่งเศส"  เป็น เค้กรูปขอนไม้ หรือ Buche de Noel หรือ Yule Log   โดยมากเค้กชนิดนี้จะทำจากแผ่นสปันจ์เค้กที่ม้วนจนกลม (คล้ายๆ แยมโรล)  แล้วตกแต่งด้วยครีมสีน้ำตาล เป็นเปลือกไม้ไอซิ่งแทนหิมะ เมอร์แรงแทนเห็ด ผลราสเบอรี่ และตามด้วยลูกสนจนหน้าตาดูเหมือนขอนไม้จริงๆ ตามตำนานเล่าว่า ในสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 1 ได้มีกฎให้ประชาชนในปารีส ปิดปล่องไฟในระหว่างฤดูหนาว เพราะเชื่อกันว่า การเปิดปล่องไฟทิ้งไว้ ทำให้อากาศหนาว เมื่อเวลาเข้าบ้านและทำให้เจ็บป่วยได้ คำสั่งนี้ ทำให้ชีวิตของชาวปารีส ที่ผูกพันอยู่กับเตาผิงต้องเปลี่ยนไป  และเพื่อระลึกถึงชีวิตเก่าๆ ที่สวยงาม จึงมีการทำเค้กรูปขอนไม้เป็นสัญลักษณ์ขึ้นมาแทนไม้ฟืนที่เคยใช้เป็นเชื้อ เพลิง นอกจากนั้นก็ยังเป็นการสร้างโอกาสให้สมาชิกในครอบครัวมาร่วมรับประทานเค้ก ด้วยกัน และพูดคุยเล่าเรื่องต่างๆ เหมือนครั้งที่เคยนั่งผิงไฟ สร้างความอบอุ่นร่วมกันเหมือนเมื่อตอนที่เตาผิงยังใช้ได้อยู่

จานดังจานเด็ดนานาชาติ ในค่ำคืนคริสมาสต์แสนอร่อย
Turron



โอ๊ล่า! ไปที่ดินแดนกระทิงดุกันบ้างครับ สเปนก็มีของหวานยอดฮิตที่ขาดไม่ได้ของชาวสเปน สำหรับเทศกาลคริสต์มาสในทุกๆ ปี คือ ขนมหวานที่เรียกว่า ตูรอน (Turron) ดูไปดูมาอารมณ์ประมาณ "ถั่วตัด" บ้านเราครับ โดยมากทำจากน้ำผึ้ง ไข่ขาวและถั่ว มีทั้งแบบใส่อัลมอนด์ เฮเซลนัท และถั่วชนิดอื่นๆ นำมากวนให้เข้ากันจนงวด แข็ง แล้วตัดแบ่ง มีทั้งแบบเป็นแต่งสี่เหลี่ยมผืนผ้า แบบกลม แบบหนา แบบบาง ขนมตูรอนนั้น มีประวัติความเป็นมาเก่าแก่ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 บ้างก็ว่าขนมชนิดนี้แท้จริงแล้ว ถูกทำขึ้นครั้งแรกโดยแขกมัวร์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเข้ามาครอบครองดินแดนแถบเมืองคิโคน่า แคว้นอลิกันเต้ ต่อมาก็แพร่หลายและได้รับความนิยม  ไปถึงแคว้นอื่นๆ รวมทั้งประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของสเปนด้วย ไม่ว่าจะเป็นฟิลิปปินส์หรือละตินอเมริกา

จานดังจานเด็ดนานาชาติ ในค่ำคืนคริสมาสต์แสนอร่อย
Christmas Pudding



เขยิบไปดูเมืองผู้ดีอย่าง "อังกฤษ" กันบ้างครับ ที่นี้ขนมออริจินัลสำหรับคริสมาสต์ไม่ใช่อะไรอื่นครับ "คริสต์มาสพุดดิ้ง" นั่นเอง เขาถือกันวาสัญลักษณ์แห่งความอบอุ่นในครอบครัว เพราะโดยมากในแต่ละบ้านมักมีสูตรเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์ของตนสืบต่อกันรุ่น ต่อรุ่น  พุดดิ้งชนิดที่ว่านี้มีเนื้อค่อนข้างหนัก เพราะมีส่วนผสมหลักเป็นผลไม้แห้งและถั่ว สีจะออกคล้ำถึงดำ เนื่องจากใช้น้ำตาลทรายแดง และน้ำเชื่อมที่มีสีดำ  ขั้นตอนการทำพุดดิ้งชนิดนี้ นับว่าเป็นกิจกรรมพิเศษอย่างหนึ่งของสมาชิกในครอบครัว เพราะมีธรรมเนียมว่า สมาชิกทุกคนจะต้องมาช่วยกันคนส่วนผสมและระหว่างคน ก็สามารถอธิษฐานขอพรได้ 1 ข้อ แล้วจะสมหวัง ที่น่ารักไปกว่านั้น คือ ในสมัยก่อนจะมีประเพณีการใส่เงินเหรียญ 6 เพนนี ลงไปอบกับส่วนผสมด้วย หากใครได้เหรียญก็จะถือว่าเป็นผู้โชคดี เชื่อว่าจะเจอแต่สิ่งดีงามตลอดปีที่กำลังจะมาถึง  ขนมชนิดนี้ มักประดับประดาด้วยช่อโฮลีก่อนเสิร์ฟ หรือไม่ก็ราดด้วยบรั่นดีแล้วจุดไฟเป็นการเรียกเสียงปรบมือต้อนรับขนมพิเศษ ของคนในครอบครัว

จานดังจานเด็ดนานาชาติ ในค่ำคืนคริสมาสต์แสนอร่อย
Julmust



ข้ามไปที่สวีเดน เมนูเด็ดของชาวสวีดิช อาจจะแปลกไปจากของประเทศอื่นๆ ซักหน่อย เนื่องจากไม่ใช่อาหารที่ปรุงกันเองตามบ้าน แต่เป็นน้ำอัดลมชนิดพิเศษที่มีขายเฉพาะในช่วงเทศกาลคริสต์มาสเท่านั้น น้ำอัดลมที่ว่านี้ มีชื่อเรียกว่า Julmust หรือยูลมุส มีรสชาติใกล้เคียงกับเบียร์ และมีส่วนผสมประกอบด้วย โซดา น้ำตาล และ Hop (เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งใช้ในการหมักเบียร์) เชื่อกันหรือไม่ว่า ทุกๆ ปีในช่วงเดือนธันวาคม Julmust จะมียอดขายพุ่งกระฉูด แซงโค้งเครื่องดื่มน้ำดำยี่ห้อดังๆ ซึ่งยอดขายตกลงกว่าร้อยละ 50 เลยทีเดียว เพราะบางคนเล่นซื้อกันเยอะๆ เพื่อเก็บไว้กินอีกทั้งปี ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะกว่าจะได้ ดื่มอีกก็ตั้งปีหน้าธันวาโน่น

จานดังจานเด็ดนานาชาติ ในค่ำคืนคริสมาสต์แสนอร่อย
Egg-Nog



แต่สำหรับพี่เบิ้มสหรัฐอเมริกา นอกจากเมนูหลัก ๆ อย่างไก่งวงและคริสต์มาสพุดดิ้งแล้ว แล้วที่นี่เขายังมีเครื่องดื่มแก้หนาวสูตรพิเศษที่เรียกว่า เอ้กน็อค (Egg-Nog) เพิ่มขึ้นมาด้วย ซึ่งเจ้าเอ้กน็อคที่ว่านี้ทำมาจากครีม น้ำตาล นมสด และไข่ไก่ ก่อนจะนำไปปั่นรวมกันก่อนจะเติมเหล้ารัมตบท้าย

จานดังจานเด็ดนานาชาติ ในค่ำคืนคริสมาสต์แสนอร่อย
Gluwine
ฝั่งอาณาจักรแห่งดนตรีและศิลปะอย่างออสเตรียก็มีเครื่องดื่มแก้หนาวที่นิยมดื่มในช่วงเทศกาลคริสต์มาสด้วยเช่นกัน ซึ่งนั่นก็คือ  กลูไวน์ (Glu Wine) หรือ ฮ็อตไวน์  (Hot wine) ที่ทำจากไวน์แดงนำมาอุ่นให้ร้อน ๆ ก่อนจะโรยผงเครื่องเทศลงไปด้วย

จานดังจานเด็ดนานาชาติ ในค่ำคืนคริสมาสต์แสนอร่อย 

แต่ที่ออกจะโหดไปนิดหนีไม่พ้นนอร์เวย์ เพราะมันคือ หัวแกะ ที่เรียกว่า Smalahove วิธีการก็คือ นำหัวแกะมาปิ้ง เพื่อลอกขน ผ่าครึ่งตามยาว เอาสมองออก ปรุงรสด้วยเกลือ หรือนำไปรมควันแล้วตากแห้ง แล้วนำมาเคี่ยวกับน้ำซุปจนงวด รับประทานกับมันบดและหัวตาบาก้าบด  โดยมากเวลารับประทานจะเริ่มที่หูและตาก่อน เพราะเป็นส่วนที่ไขมันเยอะที่สุด จึงต้องจัดการเลียตั้งแต่ตอนที่ร้อนๆ อยู่ ส่วนหัวก็จะเริ่มแซะเนื้อจากส่วนหน้าไปข้างหลัง และส่วนที่อร่อยที่สุด ก็คือลิ้น และกล้ามเนื้อตา  ในปี 2541 อียู ได้ออกกฎหมายห้ามรับประทานหัวแกะที่โตเต็มวัยแล้ว เพราะเสี่ยงต่อการมีเชื้อ Scrapie ดังนั้นตอนนี้จึงอนุญาตให้รับประทานได้แต่หัวลูกแกะเท่านั้น


25 ธันวาคม วันคริสต์มาส

25 ธันวาคม วันคริสต์มาส
 
25 ธันวาคม วันคริสต์มาส

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

         ถึงช่วงปลายปีทีไร ชาวไทยเราก็มีเรื่องฉลองอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวันปีใหม่หรือวันคริสต์มาสที่กำลังจะเข้ามาถึง แม้ว่าวันคริสต์มาสนี่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธสักเท่าไร แต่พี่ไทยซะอย่าง ฉลองได้ทุกเทศกาลอยู่แล้ว แต่ก่อนที่จะไปฉลองกัน ลองมารู้จักกับวันคริสต์มาสก่อนดีไหม

ตำนานวันคริสต์มาส

          คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

          เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร

           ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

          เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม

25 ธันวาคม วันคริสต์มาส

องค์ประกอบในงานคริสต์มาส

 ซานตาครอส
เป็นสิ่งแรกๆ ที่คนจะนึกถึงในฐานะสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส ซึ่งว่ากันว่าซานตาคลอสคนแรก คือ นักบุญ (เซนต์) นิโคลัส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 และเหตุที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นซานตาครอสคนแรก มาจากวันหนึ่งที่ท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่ง แล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี
 
25 ธันวาคม วันคริสต์มาส
          นักบุญนิโคลัส นั้นเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม เอาไว้ ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลัสก็เปลี่ยนเป็น ซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราชก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนและใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะที่มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติของเขา

          ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียงตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย อาทิ ความปิติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง
25 ธันวาคม วันคริสต์มาส

 ถุงเท้า           จากที่นักบุญนิโคลัสได้ปีนขึ้นไปบนปล่องไฟของบ้านเด็กหญิงยากจน เพื่อที่จะมอบเหรียญเงินให้เป็นของขวัญ แต่เหรียญนั้นกลับตกไปอยู่ในถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้หน้าเตาผิง พอรุ่งเช้าเด็กหญิงตื่นมาเจอเหรียญเงินในถุงเท้าจึงดีใจมาก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ผู้คนมากมายต่างพากันแขวนถุงเท้าคริสต์มาสไว้ เพื่อหวังจะได้รับของขวัญเช่นเดียวกันบ้าง

25 ธันวาคม วันคริสต์มาส
 ต้นคริสต์มาส
          นอกจากนี้อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ก็คือ ต้นคริสต์มาส ซึ่งต้นคริสต์มาสก็คือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยลูกแอปเปิ้ลและขนมปังเพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิท และก็ได้มีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยจนมาถึงการประดับด้วยดวงไฟหลากสีสัน ขนม และของขวัญ อย่างในทุกวันนี้ การตกแต่งแบบนี้ต้องย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก
          โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ที่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก และอีกเหตุผลที่ใช้ต้นสนก็เพราะว่ามันหาง่าย

          ในสมัยโบราณนั้นต้นคริสต์มาส หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โดยตามพระคัมภีร์นั้นได้เปรียบพระเยซูเจ้าเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เขียวเสมอในทุกฤดูกาล สื่อถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า อีกทั้งความสว่างของพระองค์ยังเหมือนแสงเทียนที่ส่องสว่างในความมืด และรวมถึงความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้นั้นเป็นจุดศูนย์รวมของครอบครัวในเทศกาลคริสต์มาส

25 ธันวาคม วันคริสต์มาส

 ต้นฮอลลี่

          ต้นฮอลลี่ เป็นต้นไม้พุ่มเตี้ย และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส เชื่อกันว่า สีเขียวของต้นฮอลลี่มีความหมายถึง การมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ และมีความสัมพันธ์กับพระเยซู โดยผลสีแดงของต้นฮอลลี่นั้นหมายถึงหยดเลือดของพระเยซูที่ไหลลงบนไม้กางเขน ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความรักที่มีต่อพระเจ้า ใบไม้ที่มีหนามของต้นฮอลลี่เป็นสิ่งที่เตือนพวกเราถึงมงกุฏหนามที่พวกชาวทหารโรมันได้นำมาวางไว้บนศีรษะของพระเยซูคริสต์

25 ธันวาคม วันคริสต์มาส

 ดอกไม้คริสต์มาส หรือ Poinsettia
          ตำนานของดอก Poinsettia ที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของวันคริสต์มาส มาจากเรื่องราวของเด็กหญิงจนๆ คนหนึ่ง ที่ต้องการหาของขวัญไปมอบให้พระแม่มารีในวันคริสต์มาสอีฟ แต่เนื่องจากเธอไม่มีสิ่งของใดๆ ติดตัว จึงเดินทางไปตัวเปล่า และระหว่างทางเธอได้พบกับนางฟ้าที่บอกให้เธอเก็บเมล็ดพืชไว้ ต่อมาเมล็ดพืชนั้นกลับเจริญเติบโตเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีเลือดหมูสดใส ซึ่งก็คือดอก Poinsettia ตั้งแต่นั้นดอก Poinsettia ก็ได้รับความนิยมใช้ประดับประดาบ้านในงานคริสต์มาส
 ดอกคริสต์มาส Christmas Rose
          มีต้นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ ลักษณะเป็นดอกสีขาว และมักออกดอกในช่วงฤดูหนาว ตำนานของดอกคริสต์มาสนี้มีอยู่ว่า ในช่วงที่พระเยซูประสูติ มีผู้รอบรู้ 3 คน กับคนเลี้ยงแกะเดินทางมาพบพระเยซู ระหว่างทางพวกเขาพบกับ มาเดลอน เด็กหญิงที่เลี้ยงแกะคนหนึ่ง เมื่อเธอทราบว่าทั้งหมดเดินทางมาเพื่อมอบของขวัญให้พระเยซู มาเดลอนก็เสียใจที่ไม่มีของขวัญใดไปมอบให้พระเยซูบ้าง ก่อนที่นางฟ้าที่เฝ้ามองเธออยู่จะเกิดความเห็นใจจึงร่ายมนตร์เสกดอกไม้สีขาวน่ารักและมีสีชมพูอยู่ตรงปลายกลีบให้เธอ และดอกไม้นั้นคือ ดอกคริสต์มาสนั่นเอง

25 ธันวาคม วันคริสต์มาส

 เพลงวันคริสต์มาส          เพลงคริสต์มาสเริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 แต่งโดยพระสงฆ์และฆราวาส มีเนื้อร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมาของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่

          เพลงคริสตมาสแบบใหม่นี้ เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน เพราะมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดีในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาสที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night

          ความเป็นมาของเพลงนี้มาจากวันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้องไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ นำไปให้เพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber) ใส่ทำนองในคืนวันที่ 24 นั่นเอง และเล่นเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก
 คำอวยพรวันคริสต์มาส
          ในวันคริสต์มาสเรามักจะใช้คำอวยพรให้แก่กันและกันว่า Merry X'mas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า "สันติสุขและความสงบทางใจ" คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ และได้จัดให้มีการฉลองเพื่อระลึกถึงการบังเกิดของพระเยซู ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศ ประเพณีนี้ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษที่ 4 และค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป
25 ธันวาคม วันคริสต์มาส

 สีประจำวันคริสต์มาส
สีที่เกี่ยวข้องในวันคริสต์มาสประกอบด้วย
          สีแดง : เป็นสีของผลฮอลลี่ หรือซานตาครอส เป็นสีของเดือนธันวาคม ที่แสดงถึงความตื่นเต้น และหากเป็นสัญลักษณ์ตามศาสนา สีแดงจะหมายถึง ไฟ, เลือด และความโอบอ้อมอารี

          สีเขียว : เป็นสีของต้นไม้ สัญลักษณ์ของธรรมชาตื หมายถึงความอ่อนเยาว์และความหวังที่จะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ เปรียบได้กับว่าเทศกาลคริสต์มาสคือเทศกาลแห่งความหวัง

          สีขาว : เป็นสีของหิมะ และเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา คือแสงสว่าง ความบริสุทธิ์ ความสุข และความรุ่งเรือง สีขาวนี้จะปรากฎบนเสื้อคลุมนางฟ้า, เคราและชายเสื้อของซานตาครอส

          สีทอง : เป็นสีของเทียนและดวงดาว เป็นสัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์และความสว่างไสว


 การทำมิสซาเที่ยงคืน          การถวายมิสซานี้เกิดขึ้นหลังจากพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส) ในปีนั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระเยซูเจ้าประสูติ เมื่อไปถึงตรงกับเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้น เมื่อเดินทางกลับมาที่พักได้เวลาตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ยังมีสัตบุรุษหลายคนไม่ได้ร่วมขบวนไปด้วยในตอนแรก พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ในโอกาสวันคริสต์มาส
 เทียนและพวงมาลัย

         พวงมาลัยนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่คนสมัยก่อนใช้หมายถึงชัยชนะ แต่สำหรับการแขวนพวงมาลัยในวันคริสต์มาสนั้น หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบบริบูรณ์ตามแผนการณ์ของพระเป็นเจ้า ซึ่งธรรมเนียมนี้ เกิดจากกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมันได้เอากิ่งไม้มาประกอบเป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเพื่อเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะจุดเทียนหนึ่งเล่ม สวดภาวนา และร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกันเป็นเวลา 4 อาทิตย์ก่อนถึงวันคริสต์มาส ประเพณีเป็นที่นิยมอยางมากในประเทศอเมริกา ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยนำเทียน 1 เล่มนั้นมาจุดไว้ตรงกลางพวงมาลัยสีเขียว และนำไปแขวนไว้ที่หน้าต่าง เพื่อเป็นการเตือนให้คนที่เดินผ่านไปมาได้รู้ว่าใกล้ถึงวันคริสต์มาสแล้ว ส่วนเหตุผลที่พวงมาลัยมีสีเขียวนั้น เป็นเพราะมีการเชื่อกันว่าสีเขียวจะช่วยป้องกันบ้านเรือนจากพวกพลังอันชั่ว ร้ายได้

 ระฆังวันคริสต์มาส
          เสียงระฆังในวันคริสต์มาสคือการเฉลิมฉลองให้กับการประสูติของพระพุทธเจ้า โดยมีตำนานเล่าว่า มีการตีระฆังช่วงก่อนเวลาเที่ยงคืนของวันคริสต์มาสเพื่อลดพลังความมืด และบ่งบอกถึงความตายของปีศาจ ก่อนที่พระเยซูผู้ที่จะมาช่วยไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์จะถือกำเนิดขึ้น และระฆังนี้มีเสียงดังกังวาลนานนับชั่วโมง ก่อนที่ในเวลาเที่ยงคืนเสียงระฆังนี้จะกลับกลายมาเป็นเสียงแห่งความสุข

25 ธันวาคม วันคริสต์มาส

 ดาว
          ดาว ในความหมายของชาวคริสต์เตียน หมายถึงการแสดงออกที่ดีของพระเยซูคริสต์ ที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า "The bright and morning star" มีความหมายพิเศษเหมือนกับว่า ดวงดาวเหล่านั้นได้แบ่งที่อยู่กับสรวงสวรรค์ ไม่ว่าจะมีกำแพงอะไรขวางกั้นระหว่างพื้นผิวโลกด้วยก็ตาม

 เครื่องประดับและแอปเปิ้ล                          

          ในบางแห่งเชื่อว่า ลำต้นของแอปเปิ้ล มองดูคล้ายกับต้นไม้ในสรวงสวรรค์ จึงมีการนำเอาแอปเปิ้ลมาประดับตามต้นไม้ในวันคริสต์มาส ส่วนเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ที่ตกแต่งต้นคริสต์มาสนั้นเป็นงานศิลปะที่จำลองจากผลไม้ และที่มีสีสันสดใสนั้นเพื่อให้เกิดความรื่นเริงในบ้าน อีกทั้งแสงระยิบระยับที่สะท้อนไปมา ยังดูสวยงามคล้ายแสงเทียนและแสงไฟ

25 ธันวาคม วันคริสต์มาส

 ของขวัญวันคริสต์มาส
                     
          การแลกเปลี่ยนของขวัญในวันคริสต์มาสนั้น เริ่มต้นจากเมือง Saturnalia ในช่วงยุคโรมัน ต่อมาชาวคริสต์รับประเพณีนี้เข้ามา ด้วยความเชื่อว่า การให้ของขวัญนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับของขวัญประเภททอง, ยางสนที่มีกลิ่นหอม และ ยางไม้หอม ซึ่งพวกนักเวทย์จากตะวันออกที่เดินทางมาคารวะพระเยซูคริสต์ นำมาให้ตอนที่ท่านประสูติ

          ทั้งหมดนั้นก็คือการเฉลิมฉลองให้กับพระเยซู ที่เกิดมาเพื่อชำระบาปให้แก่ชาวคริสต์ทั้งหลาย และเป็นเทศกาลที่นำความสุข สนุกสนาน มาสู่หมู่มวลมนุษย์ 

วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ประวัติ ผู้กองปูเค็ม ทรงกลด ชื่นชูผล ผู้ต่อต้านระบอบทักษิณ


ผู้กองปูเค็ม
    
ผู้กองปูเค็ม


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ทวิตเตอร์ @pookemเฟซบุ๊ก ผู้กองปูเค็มเฟซบุ๊ก Von Richthofen

            จากกรณีที่มีกลุ่มคนสวมหน้ากากสีขาวจำนวนมาก ไปรวมตัวกันบริเวณลานหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์ เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2556 หลังจากมีการนัดหมายกันผ่านโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่อทำกิจกรรม แสดงพลังต่อต้านระบอบทักษิณ และแสดงความไม่เห็นด้วย กับการบริหารงานของรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นก็มีการนัดชุมนุมของกลุ่มหน้ากากที่ลานหน้าห้างสรรพสินค้าดังกล่าว โดยมีประชาชนจำนวนมากร่วมชุมนุม และเกิดกลุ่มหน้ากากขาวในจังหวัดต่าง ๆ ที่ออกมาแสดงจุดยืนเดียวกัน เช่น กลุ่มหน้ากากขาวเชียงราย กลุ่มหน้ากากขาวเชียงใหม่ กลุ่มหน้ากากขาวภูเก็ต เป็นต้น ในส่วนหน้ากากขาวที่กรุงเทพฯ แม้กลุ่มดังกล่าวจะยังไม่ปรากฏบุคคลที่เป็นแกนนำมาจนบัดนี้ แต่ท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านั้น ได้มีชายคนหนึ่งถูกกล่าวถึงอยู่บ่อย ๆ นั่นคือ อดีตนายทหารที่ทนเห็นผู้บังคับบัญชาทุจริตคอร์รัปชั่นไม่ได้ จนตัดสินใจลาออกไปทำนากุ้ง นาปู จนได้รับฉายาว่า ‘ผู้กองปูเค็ม’ นั่นเอง

            และชื่อของ ผู้กองปูเค็ม หรือชื่อจริง ร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล กลายเป็นที่สนใจมากขึ้นมาอีกหลังได้สวมหน้ากากขาวไปยืนประท้วงตามลำพังที่หน้าทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2556 เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว 5 ข้อ ซึ่งประกอบด้วย
             1. รายจ่ายในการดำเนินงานของแต่ละโรงสีและท่าข้าว

             2. รายชื่อลูกค้า พร้อมรายการขาย และราคาขาย

             3. รายการรับซื้อ และเงินที่ได้จ่ายไปถึงชาวนาและสหกรณ์เป็นจำนวนเท่าใด
           
             4. ปริมาณข้าวที่เน่าเสียและปริมาณข้าวคงเหลือจริงที่เก็บอยู่ในแต่ละโกดัง

             5. ยอดขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าวจนถึง วันที่ 24 มิถุนายน 2556 ซึ่งเป็นวันออกหนังสือฉบับดังกล่าว

            ซึ่ง ร.อ.ทรงกลด ย้ำว่า การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวจะเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่แท้จริงของรัฐบาล ตามสิทธิที่จะปกปักรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ พร้อมทั้งมีการเชิญชวนให้ชาวหน้ากากขาวคนอื่น ๆ มาร่วมสมทบด้วย

            อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรือครั้งสุดท้ายที่ผู้ชายอย่างผู้กองปูเค็มออกปรากฏ หรือต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งก่อนนี้เขาเคยแสดงตัวต่อต้านรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายของ ยิ่งลักษณ์ มาแล้ว เมื่อครั้งที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) รวมตัวกันขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในสมัยที่ตำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และการกลับมาชุมนุมร่วมกับทางกลุ่มหน้ากากขาวครั้งนี้ของ ผู้กองปูเค็ม จึงทำให้มีหลายคนอยากที่จะรู้ประวัติผู้กองปูเค็ม ว่าเขาคนนี้เป็นใคร มาจากไหน ทำไมถึงออกมาต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ รวมถึงรัฐบาลของยิ่งลักษณ์ และวันนี้เรามีข้อมูล ผู้กองปูเค็ม ประวัติผู้ชายคนนี้มาฝากกัน

ผู้กองปูเค็ม

            สำหรับประวัติของ ผู้กองปูเค็ม มีชื่อจริง คือ ร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล จบจากโรงเรียนเตรียมทหารรุ่น 26 (ตท.26) และโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่น 37 (จปร.37) เนื่องจากเป็นคนตรงและไม่ยอมคน ดังนั้นในปี 2540 ร.อ.ทรงกลด ซึ่งขณะนั้นรับราชการสังกัดกองทัพภาคที่ 3 จึงยื่นเรื่องร้องเรียนแก่สื่อมวลชน โดยกล่าวหาว่า ผู้บังคับบัญชาทุจริตยักยอกน้ำมัน สั่งพลทหาร-นายทหารไปรับใช้ส่วนตัว ทุจริตตรวจรับจัดซื้อจัดหาวัสดุอุปกรณ์ และลงโทษผู้ใต้บังคับบัญชาเกินกว่าเหตุ ฯลฯ

            แต่การกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้ ร.อ.ทรงกลด ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน 7 ชุด ก่อนโดนสั่งย้ายไปประจำกรมสรรพาวุธทหารบก จนเจ้าตัวได้ตัดสินใจ ลาออกจากราชการในอีก 2 ปี ต่อมา ก่อนผันตัวมาเปิด บริษัท ปูเค็มดอทคอม อิมปอร์ต เอ็กซ์ปอร์ต จำกัด ใน จ.ระนอง แล้วจึงมุ่งหน้าเข้าสู่เส้นทางสายการเมือง เนื่องจากมีความสนิทสนมเป็นการส่วนตัวกับ นายวีระ สมความคิด อดีตประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน และอดีตเลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น (คปต.) และด้วยแรงศรัทธาที่มีต่อ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เขาจึงเข้าร่วมกับกลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อ ออกมาต่อต้านรัฐบาลนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยการเป็นครูฝึกการ์ดพันธมิตรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549

            แม้ว่าสุดท้าย พ.ต.ท.ทักษิณ จะถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาสั่งจำคุก 2 ปี ในคดีซื้อที่ดินบริเวณถนนรัชดาภิเษกจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟู และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน รวมทั้งยังมีคดีอีกเป็นจำนวนมากที่อยู่ในความรับผิดชอบของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) จนทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่สามารถกลับเข้ามาในประเทศไทยได้ แต่ เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นน้องสาวของ  พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ของไทย รวมทั้งแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ยังได้เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารประเทศอีกครั้ง โดยมีหลายฝ่ายคาดการณ์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ น่าจะเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง จึงทำให้ ร.อ.ทรงกลด หรือ ผู้กองปูเค็ม กลับมาเข้าร่วมการเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกครั้งภายใต้การรวมตัวกันของกลุ่มหน้ากากขาว

หน้ากากขาว

            ในการต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ครั้งนี้ของ ผู้กองปูเค็ม นอกจากเขาทั้งปรากฏและร่วมชุมนุมกับกลุ่มหน้ากากขาวที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์ แล้ว เขายังใช้ทวิตเตอร์ @pookem และ เฟซบุ๊ก ผู้กองปูเค็ม โพสต์ข้อความวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลชุดนี้อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน พร้อมประกาศจุดยืนชัดเจนว่า เขาต้องการต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ และผู้เกี่ยวข้องทุกคน ที่ทำตัวเป็นโจรปล้นแผ่นดินในความคิดของเขา

            นี่คือประวัติ ผู้กองปูเค็ม ร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล บางส่วน หากใครที่ต้องการรู้จักตัวตน หรือประวัติผู้ชายคนนี้สามารถเข้าไปดูได้ที่ ทวิตเตอร์ @pookem และ เฟซบุ๊ก ผู้กองปูเค็ม เพิ่มเติมค่ะ

25 ตัวการ์ตูนชื่อดังเป็นที่นิยมมากที่สุดในญี่ปุ่น


25 ตัวการ์ตูนชื่อดังเป็นที่นิยมมากที่สุดในญี่ปุ่น

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ การ์ตูนญี่ปุ่นก็เป็นสิ่งที่คอการ์ตูนหลายคนชื่นชอบและผูกพันกับมันมาก เพราะบางเรื่องอ่านมาตั้งแต่เด็กจนปัจจุบัน เหมือนเป็นคนคุ้นเคยกันเลยก็ว่าได้ ทำให้เรามีตัวละครโปรดแตกต่างกันไป อย่างไรก็ดี คุณอยากรู้หรือไม่ว่าสำหรับประเทศที่เป็นผู้เขียนตัวการ์ตูนอย่างญี่ปุ่นแล้ว ตัวการ์ตูนตัวไหนเป็นที่นิยมมากที่สุด ถ้าคุณอยากรู้ล่ะก็ ลองมาอ่านผลการจัดอันดับจากการสอบถามชาวญี่ปุ่นของเว็บไซต์ Japan Talk ที่เรารวมมาฝากกันดูเลย


1. โดราเอมอน

          แน่นอนว่าอันดับ 1 คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าหุ่นยนต์แมวไม่มีหูตัวนี้ เพราะเขาเป็นตัวแทนความฝันและจินตนาการไร้ขีดจำกัดเลยก็ว่าได้ เมื่อคุณอยู่กับโดราเอมอนแล้ว ไม่ว่าอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น จากการที่ของวิเศษในกระเป๋าจะทำให้ทุกอย่างง่ายดายทันตาเห็น และเขาก็ไม่เคยเอามันไปใช้หาประโยชน์ให้ตัวเองเลย เพียงแต่ใช้เพื่อดูแลโนบิตะเพื่อนที่ดีที่สุดของเขาเท่านั้น

โดราเอมอน


2. คิตตี้

          ตัวการ์ตูนนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเอาใจเด็กผู้หญิงโดยเฉพาะ ด้วยหน้าตาแบบลูกแมวน้อยน่ารักบ้องแบ๊ว พร้อมสีชมพูหวานแหวว ทำให้ผลิตภัณฑ์ของเจ้าแมวตัวนี้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แม้แต่สาว ๆ ที่โตแล้วก็ยังอดใจซื้อมาติดเอาไว้ไม่ได้ และด้วยความที่เป็นเแมวเนื้อหอมแบบนี้เอง มันจึงถือเป็นสัญลักษณ์ของบริษัท Sanrio ไปเรียบร้อย

คิตตี้



3. โทโทโร่ - โทโทโร่เพื่อนรัก 

          สัตว์ร่างใหญ่ใจดี ที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือมาจากในจินตนาการ แต่เมื่อได้พบกับเจ้าตัวนี้เมื่อไหร่ได้มีเรื่องสนุกสนานน่ารักมาให้เราอมยิ้มกันทุกที โดยซะสึกิและเมได้พบเจ้าโทโทโร่เข้า เมื่อย้ายตามพ่อไปอยู่ในชนบท แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นเพียงจินตนาการของเด็ก ๆ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อทดแทนความคิดถึงแม่เท่านั้น เพราะฉะนั้นเมื่อแม่กลับมารักษาตัวที่บ้านได้โทโทโระจึงหายไป

โทโทโร่



4. มาริโอ้

          อย่าว่าแต่คนญี่ปุ่นเลย แม้แต่คนยุโรปก็รู้จักตัวละครนี้กันดี และแทบทุกคนก็ต้องเคยเล่นเกมที่มีเขาเป็นตัวนำมาก่อนด้วย โดยภารกิจของมาริโอ้หนุ่มช่างประปาชาวอิตาลีคนนี้ก็คือการช่วยเจ้าหญิงพีช ฝ่าฟันอุปสรรคมากมายในเมืองเห็ดนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันแม้จะมีเกมใหม่ ๆ ออกมา แต่ความนิยมของมาริโอ้ก็ไม่เคยลดลง แถมยังไม่มีเกมไหนให้ความรู้สึกคลาสสิกมากเท่านี้เลย

มาริโอ้



5. แอสโตร บอย - แอสโตร บอย เจ้าหนูพลังปรมาณู

          ตัวละครนี้มีจุดกำเนิดที่น่าเศร้ากว่าที่คิด โดยเขาเกิดขึ้นในยุคอนาคตที่มนุษย์อยู่ร่วมกับหุ่นยนต์ เมื่อ ดร.เทนมะ สร้าง แอสโตร บอย ขึ้นเพื่อทดแทนความเศร้าที่ต้องสูญเสียลูกจากอุบัติเหตุ แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไป เขาถึงได้รู้ว่าแอสโตรไม่มีวัน เป็นตัวแทนลูกชายของเขาได้ เพราะเขาไม่ใช่มนุษย์ และไม่มีวันเติบโต จึงทอดทิ้ง ขายเขาให้กับคณะละครสัตว์ ก่อนศาสตราจารย์โอชาโนมิซึจะช่วยเขาออกมา และเห็นแววในตัวเขา ทำให้แอสโตรกลายเป็นผู้ที่ต่อสู้เพื่อปกป้องความยุติธรรมในเวลาต่อมา

แอสโตร บอย

 


6. ปิคาจู - Pokemon

          แวบแรกที่เห็นใคร ๆ ก็ต้องคิดว่าเจ้าหนูสายฟ้านี่น่ารักทั้งนั้น ด้วยตัวสั้นป้อมเหลืองอ๋อยพร้อมแก้มยุ้ยน่าหยิกสีแดงแปร๊ด แม้ความประทับใจแรกจะทำให้เรารู้สึกหมั่นไส้มันนิด ๆ ที่ดื้อไม่ยอมเชื่อฟังซาโตชิก็เถอะ แต่พอสนิทกันขึ้นมาแล้ว ปิคาจูก็สู้เคียงบ่าเคียงไหล่เป็นคู่หูคู่ซี้ที่ขาดกันไม่ได้ เพราะแบบนี้ล่ะมั้ง มันถึงเป็นตัวโปรดของซาโตชิรวมถึงแฟน ๆ ด้วย

ปิคาจู

 
Pokemon


7. ซาซาเอะ - Sazae-san

          คนไทยส่วนใหญ่อาจไม่คุ้นหน้าตัวละครนี้กันสักเท่าไหร่ แต่สำหรับคนญี่ปุ่นแล้ว เธอดังมากเลยทีเดียว โดยซาซาเอะคือสาววัย 27 ปีธรรมดา ๆ ที่ไม่ค่อยจะมีความเป็นผู้หญิงสักเท่าไหร่ ไม่ยอมแต่งชุดกิโมโนหรือนั่งแต่งหน้าทำผมให้สวยเป๊ะเพื่อเอาใจสามี แต่เลือกที่จะเป็นคู่ชีวิตที่เสมอภาคกันและให้เขารักเธอที่นิสัยใจคออย่างที่เป็นมากกว่า เรียกได้ว่าเธอเป็นตัวแทนของผู้หญิงยุคใหม่เลยทีเดียว แม้จะถูกเขียนขึ้นตั้งแต่ปี 1946 แล้วก็ตาม

ซาซาเอะ

Facebook Sazae-san


8. มารุโกะ - หนูน้อยจอมซ่า มารุโกะจัง


          สาวน้อยที่กำลังเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 คนนี้ คือตัวเอกของเรื่อง ซึ่งแม้พลอตเรื่องของ หนูน้อยจอมซ่า มารุโกะจัง จะไม่ได้หวือหวาอะไร หากแต่เป็นการเล่าชีวิตประจำวันของครอบครัว ผ่านมุมมองของสาวมารุโกะเท่านั้น แต่ด้วยความคิดที่แตกต่างและมุมมองแบบเด็ก ๆ ของเธอ ก็ทำให้เรื่องนี้มัดใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้ง่าย ๆ

มารุโกะ

Chibi Maru


9. ชินจัง - ชินจังจอมแก่น

          ดู ๆ แล้วชินจังก็จอมแก่นสมกับชื่อเรื่องจริง ๆ จนบางครั้งความทะลึ่งทะเล้นของเขายังทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่าหากตัวเองต้องมาเป็นมิซาเอะแม่ของเขาจะปวดหัวสักแค่ไหนกัน แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าเพราะความกวนประสาทของชินจังนี่แหละ ที่ทำให้เราติดเรื่องนี้งอมแงมจนต้องมานั่งหัวเราะอยู่หน้าจอทีวีแทบทุกวัน

ชินจัง

TV ASAHI 


10. ซุนโกคู - Dragon Ball
   
          แม้จะมีพลังชนิดไร้เทียมทาน ทว่าตั้งแต่ที่เราเห็นโงกุนมาตั้งแต่เด็กจนโต เขากลับมีนิสัยซื่อไร้เดียงสา บางครั้งติดจะซื่อเกินไปด้วยซ้ำ และเพราะนิสัยแบบนี้ล่ะมั้งถึงทำให้เขามีจิตใจบริสุทธิ์มากพอจะขี่เมฆสีทองได้ รวมทั้งเป็นที่รักของคนดูด้วย แม้แต่เบชิต้าที่ตั้งแง่เป็นศัตรูกับเขา ยังกลายมาเป็นเพื่อนอย่างไม่รู้ตัวเลย

ซุนโกคู

Dragon Ball Z


11. อุลตร้าแมน

          แน่ล่ะว่าทุกคนต้องรู้จักอุลตร้าแมนกันอยู่แล้ว แต่คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมสู้อยู่ดี ๆ ไฟตรงกลางอกเขาถึงกะพริบส่งเสียงดัง แล้วอุลตร้าแมนก็ต้องหมดแรงไป เหตุมันเกิดเพราะว่าฮายาตะหรือเจ้าของร่างอุลตร้าแมนนั้น ถูกยานของอุลตร้าแมนซึ่งเป็นสมาชิกหน่วยพิทักษ์อวกาศชนเสียชีวิต ขณะกำลังไล่ล่าสัตว์ประหลาดอยู่ ด้วยความรู้สึกผิด อุลตร้าแมนจึงแบ่งชีวิตของตนให้กับฮายาตะและสาบานว่าจะช่วยปกป้องโลกใบนี้ แต่มีเงื่อนไขว่าเขาสามารถใช้พลังของอุลตร้าแมนได้เพียง 3 นาทีต่อครั้งเท่านั้น หากเกินกว่านั้นจะหมดกำลังทันทียังไงล่ะ

อุลตร้าแมน

Light Sculpture Studio


12. คาเมนไรเดอร์

          เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อองค์กรช็อคเกอร์ที่ชั่วร้ายต้องการจะยึดครองโลก จึงได้จับมนุษย์ไปดัดแปลงร่างกาย ก่อนจะให้ล้างสมองเพื่อลืมความทรงจำต่าง ๆ แต่โชคดีที่ ฮอนโก ทาเคชิ หนีออกมาได้ก่อนจะถูกล้างสมอง เขาจึงตัดสินใจใช้ร่างกายที่ถูกดัดแปลงมาแล้ว ต่อสู้เพื่อปกป้องสันติสุขของมวลมนุษย์ และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของซีรีส์เรื่องยาว คาเมนไรเดอร์ ที่มีการสร้างต่อเนื่องออกมาอีกเรื่อย ๆ

คาเมนไรเดอร์



13. เปโกะจัง

          แม้ว่าสาวน้อยคนนี้จะไม่ได้มีการ์ตูนของตัวเองเป็นเรื่องเป็นราว แต่คุณก็คงอดคิดไม่ได้ใช่ไหมล่ะว่าทำไมตัวเองถึงคุ้นตากับใบหน้าซน ๆ ที่กำลังทำทะเล้นแลบลิ้นพร้อมกับผูกแกะสองข้างขนาดนี้ คำตอบก็คือเพราะเธอเป็นมาสคอตของแบรนด์อาหารและขนม Fujiya ยังไงล่ะ ทำให้ตามร้านมีหุ่นของเธอตั้งอยู่ด้วย และบนซองขนมก็มักมีใบหน้าน่ารักของเธอปรากฏอยู่ เราจึงรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตากับเธอดี

เปโกะจัง

Fujiya-Peco


14. ลูแปงที่ 3 - จอมโจรลูแปง

          ในโลกนี้มีเพียง 2 อย่างที่สามารถดึงดูดใจจอมโจรคนนี้ได้ นั่นก็คือทรัพย์สมบัติมหาศาล และหัวใจของฟูจิโกะนางเอกของเรื่องนั่นเอง อย่างไรก็ตาม แม้บางครั้งเขาดูจะซื่อบื้อเหมือนโจรกระจอกไปสักหน่อย แต่การที่เขายังลอยนวลไม่โดนจับสักที ก็แสดงให้เห็นได้แล้วว่า มันเป็นเพียงแค่ลูกไม้แกล้งโง่ให้คนประมาทเท่านั้นเอง

ลูแปงที่ 3

Facebook Lupin III


15. อาราเล่ - ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่

          โนริมากิ อาราเล่ หรือที่คนรู้จักกันดีในนามหนูน้อยอาราเล่ เธอคือหุ่นยนต์ที่ ดร.เซมเบ้ สร้างขึ้น ที่แม้จะเห็นเธอร่าเริงวิ่งเล่นกับกัตจังเพื่อนคู่หูได้ทั้งวัน แต่ที่จริงแล้วเธอมีพละกำลังมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะ โดยเธอสามารถยกของหนัก ๆ ได้อย่างสบาย ส่วนคำพูดติดปากที่ทุกคนรู้จักกันดีก็คือ "โอ๊ะ โยะ โหย" ที่ได้ยินเป็นประจำนั่นแหละ

อาราเล่

Facebook Dr. Slump Arale Chan


16. รีแลคคุมะ - Rilakkuma
   
          เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะไปไหนเป็นต้องเห็นเจ้าตุ๊กตาหมีหน้าตาบ้องแบ๊วสีน้ำตาลพร้อมหน้าท้องสีขาวเต็มไปหมด โดยมันกลายมาเป็นของสะสมยอดนิยมของสาว ๆ แม้หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่ามันเป็นการ์ตูนเกี่ยวกับอะไรก็ตาม ซึ่งที่จริงแล้วรีแลคคุมะคือตุ๊กตาหมีน้อยที่อาศัยอยู่กับคาโอรุ สาวออฟฟิศธรรมดา ๆ คนหนึ่ง โดยมันมีนิสัยชอบนอนเป็นชีวิตจิตใจ และมีของโปรดเป็นพวกดังโงะ, แพนเค้ก, ข้าวไข่เจียว และพุดดิ้งคัสตาร์ด

รีแลคคุมะ



17. อามุโระ เรอิ - กันดั้ม

          คนดูจะรักความเป็นเด็กเรียบง่ายทั่วไปจากพื้นเพของหนุ่มคนนี้ ซึ่งถ้าหากเขาเกิดในยุคนี้ล่ะก็ ป่านนี้เรอิคงเป็นแค่หนุ่มโอตาคุธรรมดา ๆ ไปแล้ว โดยเขาเป็นเด็กที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่ชอบเอาเวลาไปนั่งสร้างหุ่นยนต์เสียมากกว่า จนกระทั่งจับพลัดจับผลูจากเด็กหนุ่มชาวบ้านได้มาขับกันดั้ม ทั้ง ๆ ที่มีอายุเพียงแค่ 15 ปีเท่านั้น อย่างไรก็ดี แม้ตอนแรกที่โผล่มาเขาจะไม่ได้หน้าตาดีเลิศเลอนัก แต่พอเวลาผ่านไป เด็กหนุ่มก็ค่อย ๆ พัฒนาจนกลายเป็นหนุ่มหล่อเหลาเอาการเลยล่ะ

อามุโระ เรอิ กันดั้ม

Gundam


18. รถบัสแมว - โทโทโร่เพื่อนรัก 

          เจ้าสิ่งมีชีวิตหน้าตาสุดหลอนนี้ก็คือรถบัสแมวหรือ Neko Basu นั่นเอง ซึ่งถึงแม้มันจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนเป็นรถแบบนี้แต่มันก็มีชีวิตนะ โดยมันเป็นแมวตัวผู้ที่มีหน้าที่รับส่งภูตผีวิญญาณและมันมีความรวดเร็วว่องไวมาก แถมดวงตายังส่องแสงในความมืดได้ไม่แพ้รถยนต์เลยทีเดียว และจากความนิยมของมัน ทำให้แมวตัวนี้มีผลิตภัณฑ์จำพวกตุ๊กตาหรือของเล่นเด็กวางขายเป็นจำนวนมาก

รถบัสแมว โทโทโร่เพื่อนรัก

Totoro


19. โนบิตะ - โดราเอมอน

          ใครล่ะจะจำเด็กน้อยขี้แยคนนี้ไม่ได้ เอะอะมีเรื่องถูกรังแกทีไร โนบิตะก็ต้องวิ่งไปฟ้องโดราเอมอนจนเป็นภาพชินตาไปแล้ว ทำให้ใคร ๆ ก็คิดว่าเด็กคนนี้อ่อนแอเสียเหลือเกิน แต่เอาเข้าจริงถึงเวลาที่ต้องจริงจังขึ้นมา บางครั้งโนบิตะก็พึ่งพาได้เหมือนกันนะ เพียงแต่เขาต้องรอตอนหลังชนฝาไม่มีทางเลือกแล้วจริง ๆ เท่านั้นเอง

โนบิตะ โดราเอมอน

Dora World


20. คิทาโร่ - อสูรน้อยคิทาโร่


          คิทาโร่ สมาชิกเผ่าพันธุ์ปีศาจ ในการ์ตูนตลกสยองขวัญจากปลายปากกของ ชิเงรุ มิซุกิ เกี่ยวกับกลุ่มปีศาจที่ช่วยขับไล่ภูตผีที่คอยรังควานมนุษย์ด้วยจิตอาฆาตแค้น ซึ่งแม้ตัวการ์ตูนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็น คิทาโร่ คุณพ่อตาเดียวของเขา และผองเพื่อนทั้งหลายจะมีหน้าตาน่ารักไม่หยอก แต่บรรยากาศในเรื่อก็ชวนสยองขนหัวลุกอยู่บ้างเหมือนกันนะ

คิทาโร่ อสูรน้อยคิทาโร่

Facebook Gegege no Kitaro


21. โปเนียว - โปเนียว ธิดาสมุทรผจญภัย

          ความใสซื่อไร้เดียงสาของโปเนียว คือเสน่ห์ที่ทำให้คนติดใจการ์ตูนเรื่องนี้กันเต็มไปหมด โดยสาวน้อยโปเนียวนั้นเป็นลูกสาวของเจ้าสมุทร ที่ดันไปสนิทสนมกับโซสุเกะ เด็กน้อยธรรมดาคนหนึ่งเข้า พ่อของเธอแม้จะเคยเป็นมนุษย์มาก่อน แต่กลับกีดกันความสัมพันธ์นี้ เธอจึงตัดสินใจหนีออกไป ทำให้เกิดเรื่องวุ่น ๆ ตามมา

โปเนียว

Facebook Ponyo


22. เคนชิโร่ - เคนชิโร่ หมัดเทพเจ้าดาวเหนือ

          บุรอนซอนเจ้าของผลงานเรื่องนี้เผยว่าตัวละครนี้เป็นตัวที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก แมกซ์ ร็อคคาทานสกี จากซีรีส์ Mad Max ผสมกับเจ้าพ่อศิลปะการต่อสู้ บรูซ ลี ออกมาเป็นตัวละครที่เข้มแข็งห้า วหาญ แต่มีจิตใจอ่อนโยนเป็นคนดี ชอบช่วยเหลือคนที่อ่อนแอกว่า อย่างที่เห็น โดยมีแผลเป็น 7 แห่งบนหน้าอก เกิดจากการโดนเพื่อนสนิทหักหลังเป็นเอกลักษณ์

เคนชิโร่

Hokuto No Ken


23. คุณพ่อบาคาบอน - Tensai Bakabon

          เรื่อง Tensai Bakabon ของนักเขียน ฟูจิโอะ อาคัตซึกะ มีคุณพ่อคนนี้แหละเป็นตัวฮาของเรื่อง เพราะเขาเป็นตัวป่วนก่อปัญหาไปซะทุกครั้ง ด้วยการใช้ประโยคติดปากว่า "ไม่เป็นไรหรอกน่า" ทำให้คนอื่นคล้อยตามทุกที แม้ว่าแทบทุกครั้งแผนของเขาจะพังไม่เป็นท่าก็เถอะ แต่ก็เพราะความป่วนนี่แหละ จึงทำให้เขาเป็นตัวขโมยซีนไปซะทุกฉาก จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของเรื่องไปแล้ว

คุณพ่อบาคาบอน

Facebook Tensai Bakabon


24. ยาบุกิ โจ - โจ สิงห์สังเวียน

          ตัวละครจากเรื่อง โจ สิงห์สังเวียน การ์ตูนสุดฮิตในช่วงปี 1968 - 1973 คนนี้ กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลาย ๆ คน จากความกล้าหาญและมุ่งมั่นของเขา ที่พยายามฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ จากนักเลงได้กลายมาเป็นนักมวยในที่สุด ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้มีแต่เพียงฉากแอ็คชั่นดุเดือดเท่านั้น แต่มรสุมชีวิตที่เข้ามาแต่ละครั้ง ยังเป็นดราม่าเข้มข้นที่ทำให้เรารู้สึกสะเทือนอารมณ์ไปด้วยเช่นกัน

ยาบุกิ โจ โจ สิงห์สังเวียน

Facebook Ashita No Joe


25. เรียวสึ คันคิจิ - คุณตํารวจป้อมยาม

          เรียวสึหรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักในนามเรียวซัง ตำรวจวัย 36 ปีประจำป้อมยาม หน้าสวนสาธารณะคาเมอาริ ผู้แสนจะขี้เกียจ แต่ก็เป็นคนสร้างเสียงหัวเราะอยู่เสมอ เป็นตัวสร้างสีสันให้กับเนื้อเรื่อง จนปัจจุบันการ์ตูนคุณตํารวจป้อมยาม ของ โอซามุ อาคิโมโตะ เรื่องนี้เป็นการ์ตูนที่มีความยาวมากที่สุดในโลก โดยเขียนต่อเนื่องยาวนานมากว่า 30 ปี และมีจำนวนรวมเล่นสูงกว่า 160 เล่ม

เรียวสึ คันคิจิ คุณตํารวจป้อมยาม

Kochikame


          ตัวละครที่ติดอันดับทั้ง 25 ตัวนี้ อาจมีที่บ้านเรารู้จักและไม่รู้จักบ้างปะปนกันไป แต่แน่นอนว่าทุกตัวล้วนเป็นตัวละครที่คนญี่ปุ่นรู้จักกันดีแน่ ๆ มันจึงต้องมีเสน่ห์น่าสนใจไม่ใช่เล่นเลยล่ะ ดังนั้นหากมีตัวไหนที่คอการ์ตูนอย่างคุณยังไม่รู้จัก อย่าลืมลองหามาอ่านกันดูให้ได้ชื่อว่าเป็นคอการ์ตูนตัวจริงนะคะ