วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555


ภัยพายุสุริยะธันวาคม 2012 จะรับมืออย่างไร 
พายุสุริยะ 2012 ไปเกี่ยวอะไรกับปฏิทินสิ้นโลกของชาวมายา เป็นความบังเอิญทางวิทยาศาสตร์ที่มาลงตัวพอดีกับความเชื่อ
ก่อนอื่นผมขออธิบายเป็นน้ำจิ้มว่า "พายุสุริยะ" คืออะไร จากข้อมูลขององค์การนาซ่าแห่งสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นเจ้าพ่อใหญ่แห่งวงการอวกาศโลก ชี้แจงว่าทุกๆ 11 ปี ขั้วแม่เหล็กของดวงอาทิตย์จะกลับหัวกลับหางจากเหนือเป็นใต้ เป็นเหตุให้ "จุดดับ" บนผิวดวงอาทิตย์ออกฤทธิ์เปล่งพลังงานมหาศาลออกมาในอวกาศในลักษณะคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก่อให้เกิดรังสีต่างๆได้แก่ รังสีแกมม่า และรังสีเอ็กเรย์ ซึ่งมีผลต่อโลกในสามระดับ กล่าวคือ
1.ระดับรุนแรงที่สุด (X-Class) ทำให้คลื่นวิทยุสื่อสารล้มเหลวทั้งโลกเป็นเวลานาน อุปกรณ์ต่างๆที่ต้องใช้การติดต่อผ่านดาวเทียมและระบบคอมพิวเตอร์จะเข้าสู่ภาวะ Blackout เรียกง่ายๆว่าระบบอิเล็กโทรนิคทั้งหลายเป็นใบ้สิ้นเชิง เราๆท่านๆที่ฝากวิถีชีวิตไว้กับโลก "ออนไลน์" คงต้องทำใจกลับไปสู่ยุคไปรษณีย์จดหมายธรรมดา นักบินมือหนึ่งที่เคยชินกับการนำร่องโดยระบบคอมพิวเตอร์และจีพีเอส ก็คงต้องหันกลับมาบังคับเครื่องแบบ "ตาดู หูฟัง" ท่านที่นิยมทำธุรกรรมออนไลน์คงต้องกลับมาสู่ระบบส่งดร๊าฟทางไปรษณีย์ และที่แน่ๆการประมูลโครงก่อสร้างระดับบิ๊กๆมหาโปรเจคหมื่นล้านที่กระทรวงการคลังคุยนักคุยหนาว่า "อี อ๊อกชั่น" คงต้องกลับมาใช้วิธียื่นซองเหมือนเดิม ส่วนบรรดาผู้มีรสนิยมไฮโซชอบเล่น 3G 4G และ Facebook คงต้องระงับความอยากไว้ชั่วคราว
2.ระดับปานกลาง (m-class) เป็นอาการเดียวกับข้อแรกแต่เกิดแบบชั่วคราว เราๆท่านๆที่เป็นนักออนไลน์ และฝากชีวิตไว้กับสื่ออิเลคโทรนิค ต้องยุติความทันสมัยชั่วคราวคงไม่ถึงกับลงแดง
3. ระดับอ่อน (c-class) ไม่มีผลอะไรเลย แบบที่วัยรุ่นเรียกว่า "ชิว ชิว"      
แผนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาแสดงบริเวณที่ระบบอิเล็กโทรนิคล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง โรงงานผลิตไฟฟ้าจะถูกปิดเพราะระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมล้มเหลว 
ภาพแสดงการปะทุของพลังงานมหาศาลจากดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดรังสีอันตรายพุ่งตรงมายังโลก
แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับปฏิทินโลกาวินาศ 2012 ของชาวมายา
ครับ....มันคงเป็นการบังเอิญอย่างช่วยไม่ได้ที่สองเหตุการณ์ร้ายๆนี้โคจรมาตรงกันพอดี เพราะพายุสุริยะที่เกิดจากการปะทุของดวงอาทิตย์จะเกิดทุกๆ 11 ปี ล่าสุดเกิดเมื่อปี 2003 ดังนั้นมันก็หมุนมาตรงกับปี 2012 อย่างช่วยไม่ได้ ส่วนรายละเอียดเรื่องราวของปฏิทินมายาผมได้เขียนลงคอลั่มส์เดียวกันนี้ไปแล้วหลายเดือนก่อน หลายท่านอาจตั้งคำถามว่าปี 2003 เราๆท่านๆไม่เห็นมีปัญหาอะไร  ใช่แล้วครับเพราะตอนนั้นเรายังไม่ได้พึ่งพาระบบดาวเทียมมากเท่าตอนนี้จึงไม่ค่อยรู้สึกอะไรเท่าไหร่ อีกทั้งสนามแม่เหล็กโลกซึ่งทำหน้าที่เหมือนเกราะป้องกันคลื่นพายุสุริยะก็ทำหน้าที่ได้ดี พูดแบบภาษาหมัดมวยก็ "ยกการ์ดแน่น"  แต่ปี 2012 สถานะการณ์อาจไม่เหมือนเดิมเพราะ "สนามแม่เหล็กโลก" มีรูโหว่พอสมควรเรียกว่า "การ์ดตกแล้ว" พายุสุริยะอาจจะทะลุทะลวงเข้ามายังผิวโลกได้ง่ายทำให้เกิดอันตรายต่อระบบที่กล่าวข้างต้น  
ตามภาพนี้พายุสุริยะถูกสนามแม่เหล็กโลกปัดป้องไว้ได้อย่างเหนียวแน่น  ทำให้ไม่ระคายผิวชาวโลกเท่าใดนัก

ลึกลงไปในแกนโลกยังมีส่วนที่เป็นโลหะเหลวร้อนจัด เมื่อโลกหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วประมาณพันไมล์ต่อชั่วโมงทำให้เกิดกระแสแม่เหล็กแผ่ออกไปทั่วบริเวณ เรียกว่า "แม่เหล็กโลก (Earth's Magnetic Field) ทำหน้าที่ปกป้องบรรยากาศของโลกจากพายุสุริยะ

แสดงรูปร่างของแม่เหล็กโลกเปรียบเสมือน "หมวกกันน้อก" ป้องกันไม่ให้คลื่นอันตรายของพายุสุริยะจากดวงอาทิตย์หลุดเข้ามาบรรยากาศชั้นใน
 ดาวเทียม THEMIS ขององค์การนาซ่า สำรวจในปี 2007 พบว่าสนามแม่เหล็กโลกมีรูโหว่ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Giant Breach in Earth's Magnetic Field Discovered 

ภาพจำลองโดยคอมพิวเตอร์แสดงการทะลุทะลวงของพายุสุริยะผ่านเกราะป้องกันของสนามแม่เหล็กเข้าสู่บรรยากาศชั้นในของโลก
ภาพจำลองสถานะการณ์ว่าจะเกิดอะไรบ้างเมื่อพายุสุริยะ (รังสีเอ็กซ์เรย์) ทะลุเข้ามายังบรรยากาศชั้นในของโลก ตัวที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดได้แก่ ระบบควบคุมการผลิตและส่งกระแสไฟฟ้า และระบบการส่งคลื่นวิทยุสื่อสาร 
เราๆท่านๆจะต้องเตรียมรับมืออย่างไร
เมื่อรู้ๆอย่างนี้แล้วต้องทำใจ และลองนึกภาพดูง่ายๆว่าถ้าระบบออนไลน์ล้มเหลวอะไรจะเกิดขึ้น หรือถ้าไฟฟ้าดับสักหนึ่งอาทิตย์เราจะอยู่กันอย่างไร หากเป็นผมก็จะต้องเตรียมตัวดังนี้ครับ พอถึงต้นเดือนธันวาคม 2555
1.เบิกเงินสดออกมาสำรองไว้ที่บ้านเพราะระบบออนไลน์อาจจะไม่ทำงาน เอทีเอ็ม คงใบ้กินชั่วขณะ จัดการเรื่องธุรกรรมทางการเงินที่จำเป็นไว้ล่วงหน้า (กระทรวงการคลังคงต้องหามาตรการอย่างใดอย่างหนึ่งรองรับ)
2. ตุนน้ำ อาหาร พลังงานสำรอง (แก้ส ฟืน ถ่าน ไฟฉาย น้ำมัน)  และสิ่งจำเป็นไว้ที่บ้าน ควรเป็นอาหารที่ไม่ต้องแช่เย็นเพราะไฟฟ้าอาจจะดับ 
3. อย่าเดินทางโดยพาหนะเครื่องบิน และเรือที่ใช้ระบบนำร่อง จีพีเอส และคลื่นอิเล็กโทรนิคในรูปแบบต่างๆ เพราะช่วงนั้นดาวเทียมอาจถูกรบกวนจนต้องหยุดทำงานชั่วคราวส่งผลต่อการเชื่อมโยงของอุปกรณ์นำร่องที่เรียกว่า จีพีเอส และวิทยุสื่อสารการบิน 
4. ไม่ควรออกแดดมากนักเพื่อหลีกเลี่ยงรังสีจากดวงอาทิตย์
มาตรการนอกเหนือจากนี้ควรเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ผมว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ "ความเชื่อ" แบบ "เด็กชายปลาบู่" แต่เป็นข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ และไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
เรื่องนี้อาจถูกบิดเบือนในลักษณะ "ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด" ว่าแกนของโลกจะกลับทาง หรือกลับหัวกลับหางจากขั้วโลกเหนือเป็นขั้วโลกใต้ จริงๆแล้วเป็นเรื่อการกลับหัวกลับหางของขั้วแม่เหล็กดวงอาทิตย์ซึ่งเกิดทุกๆ 11 ปี ถ้าจะถามว่า "ขั้วแม่เหล็กโลก" มีสิทธิกลับทางแบบนี้หรือไม่ องค์การนาซ่ายืนยันแล้วว่าเกิดได้ครับแต่นานมาก ครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นประมาณ 740,000 ปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตามขั้วแม่เหล็กโลกไม่ได้อยู่นิ่งๆอย่างที่คิด แต่จะขยับเปลี่ยนที่ไปบ้างเล็กๆน้อยๆดังภาพข้างล่าง ที่แสดงตำแหน่งขั้วแม่เหล็กทิศเหนือของโลก ปี 1904 อยู่ที่บริเวณเส้นรุ้ง 70 องศาเหนือ แต่พอถึงปี 2001 ขยับขึ้นมาอยู่ที่เส้นรุ้ง 80 กว่าๆองศาเหนือ 

  
แกนโลกเปลี่ยน ?
เรื่องนี้เป็นความจริงครับ แกนโลกไม่ได้เอียง (จากแนวดิ่ง) ที่ 23.5 องศา ตายตัวตลอดกาล แต่ขยับมุมเปลี่ยนไปมาระหว่าง 21 - 24 องศา ทุกๆ 25,800 ปี ทำให้ขั้วโลกเหนือขยับเปลี่ยนดังในภาพที่อธิบายเป็นภาษาอังกฤษว่า Shifting North Pole โดยจุดที่ 1 เกิดขึ้นเมื่อ 80,000 ปีที่แล้ว จุดที่ 2 เมื่อ 50,000 ปี จุดที่ 3 เมื่อ 17,000 ปี จุดที่ 4 ขั้วโลกเหนือปัจจุบันมาอยู่ตรงนี้เมื่อ 12,000 ปีที่แล้ว   
เมื่อแกนโลก และขั้วโลกเหนือเปลี่ยนไป "ดาวเหนือ" ที่เราๆท่านๆเห็นอยู่ทุกคืนก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย ดังภาพข้างล่างอธิบายว่าดาวเหนือดวงปัจจุบัน คือ โฟลารีส (Polaris) แต่อีก 13,000 ปีข้างหน้าดาวเหนือจะเป็น "เวก้า" (Vega) รอบการเปลี่ยนกินเวลาประมาณ 25,800 ปี เหตุการณ์นี้ยังมีผลต่อการเปลี่ยนของ "จักรราศี" ภาษาดาราศาสตร์เรียกว่า "การเคลื่อนที่ถดถอยของราศีในวันวสันตวิษุวัต" (Precession of vernal equinox) 
ปรากฏการณ์ทางดาราสาสตร์อันนี้สร้างความอึดอัดใจต่อ "นักโหราศาสตร์" อย่างมากเพราะวิชานี้เริ่มคิดขึ้นเมื่อประมาณสองพันกว่าปีที่แล้ว (2220 - 60 BC) โดยยึดเอากลุ่มดาวฤกษ์ที่ฉากหลังของดวงอาทิตย์เป็น "ราศี" เริ่มต้นของรอบปี ตอนนั้นวัน "วสันตวิษุวัต" ตรงกับราศีเมษ (Aries) พี่แกก็เอาราศีนี้เป็นตัวเริ่มต้นปฏิทินและยังคงใช้มาเรื่อยๆจวบจนปัจจุบัน แต่ปรากฏการทางดาราศาสตร์เปลี่ยนไปเพราะแกนโลกไม่คงที่ ทำให้กลุ่มดาวฤกษ์ในวันวสัตวิษุวัตเปลี่ยนไปจาก ราศีเมษ (Aries) เป็น ราศีมีน (Pisces)  และปัจจุบันกำลังจะเข้าสู่ราศีคนแบกหม้อน้ำ (Aquarius) ดังนั้นตำราโหราศาสตร์ในปัจจุบันจึงไม่ตรงกับตำแหน่งดาวฤกษ์ที่เป็นจักรราศีจริงๆบนท้องฟ้า นักดาราศาสตร์กับนักโหราศาสตร์จึงฉายหนังเรื่องเดียวกันแต่เป็นคนละม้วน ผมเคยพูดเรื่องนี้กับท่านโหราจารย์ก็ได้คำตอบว่า รู้แล้วแต่อย่าเอ็ดไป ของมันหากินมาตั้งสองพันปีจะเปลี่ยนก็กระไรอยู่ เป็นอันว่าทางใครทางมันครับ
นักดาราศาสตร์ กับนักโบราณคดี ที่ศึกษาเรื่องราวของ "สฟิ๊งส์" กำลังมีประเด็นถกเถียงอย่างหนักถึงอายุที่แท้จริงของสิ่งมหัศจรรย์นี้ เพราะถ้าเอาข้อมูลทางดาราศาสตร์เข้าไปจับ สฟิ๊งส์น่าจะมีอายุประมาณ 10,500 ปี ก่อนคริสตกาล หรือประมาณ 12,500 ปี มาแล้ว เพราะถ้าใช้สมมุติฐานว่าสฟิ๊งส์เป็นตัวแทนของ "ราศีสิงห์" (Leo) และยังพาลเข้าไปเกี่ยวกับอายุของตัวมหาปีรามิดอีก นักโบราณคดี กับนักดาราศาสตร์จึงมองหน้ากันไม่ค่อยสนิทแล้ว  ยิ่งมีข้อมูลวิจัยจากนักธรณีวิทยาระบุว่า "ร่องรอยการกัดเซาะ" ที่ฐานของสฟิ๊งส์เกิดจากการกระทำของน้ำ (Water erosion) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดยุค "น้ำแข็ง" เมื่อ 17,000 - 12,000 ปีที่แล้ว ก็ทำให้ข้อกังขาระหว่างนักโบราณคดี นักดาราศาสตร์ และนักธรณีวิทยา แต่สองฝ่ายหลังทิ้งน้ำหนักไปทางเดียวกันมากกว่า   

ร่องรอยการกัดเซาะของน้ำที่ฐานตัวสฟิ๊งส์
สรุป
การเตรียมตัวรับมือพายุสุริยะปลายปี 2012 ไม่ใช่ความเชื่อแบบ "เด็กชายปลาบู่" แต่เป็นคำเตือนทางดาราศาสตร์จากองค์การนาซ่าแห่งสหรัฐอเมริกา รัฐบาลไทยก็ต้องหามาตรการตั้งรับอย่างถูกต้อง เพราะตอนนี้ระบบราชการและธุรกิจของประเทศอยู่ในภาวะโลกออนไลน์เต็มตัว เราฝากชีวิตไว้กับ "ดาวเทียมสื่อสาร" มากกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นไหนๆก็ไหนๆมาถึงจุดนี้แล้วหลวมตัวไปแบบเต็มๆ จะกลับไปจับจอบจัมเสียมแบบเดิมคงไม่ได้ ก็ต้องหาทางออกที่ดีที่สุดละครับ คราวนี้แหละคงได้เห็นความแตกต่างระหว่างชีวิตชาวกรุงเทพที่พึ่งพาเทคโนโลยีชั้นสูง กับชาวบ้านนอกบ้านนาที่พึ่งพาแสงตะเกียงเจ้าพายุและใช้น้ำจากแหล่งธรรมชาติ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น